การเมืองไทยยุค “3 ป.” ต้องบอกว่าอะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น และให้ระวังเรื่อง “ลับ-ลวง-พราง” วางหมากกลหลายชั้นจนสับสบไปหมด กับปรากฏการณ์ขับ “ผู้กองคนดัง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พ้นพรรคพลังประชารัฐ แบบเต็มใจ ทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส” กลายเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” ทันที หอบหิ้ว ส.ส.ในก๊วน 21 คน มุ่งหน้าทิ้งบ้านเก่าย่านถนนรัชดา มุ่งหน้าไปยัง ตึกหรู 10 ชั้น ย่านถนนศรีนครินทร์ สร้างฐานกำลังใหม่ พรรคเศรษฐกิจไทย มี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์ พปชร. เป็นหัวหอก นั่นไม่ชัดเท่ากับมี “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. “น้องแท้ๆ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งประธานที่ปรึกษาพรรค

ทำให้นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่น กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเศรษฐกิจไทย โดยอ้างว่า “บิ๊กป้อม” ครอบงำพรรค อ้างเอกสารของ “ส.ส.เบี้ยว” สมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา ที่ทำหนังสือขอให้ทบทวนมติขับออกจากพรรค โดยหน้าที่ 7 ระบุว่า เมื่อ พล.อ.ประวิตร เข้ามาข้ามาในห้องประชุมได้แจ้งว่า ร.อ.ธรรมนัส จะออกจากพรรค โดยจะมีการย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย และจะให้ พล.อ.วิชญ์ เป็นหัวหน้าพรรค ให้นายอภิชัย เตชะอุบล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาธิการพรรค และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นที่ปรึกษาพรรค โดยจะให้ ส.ส.กลุ่มธรรมนัส ย้ายไปอยู่พรรคนี้

พร้อมมีเจ้าหน้าที่นำใบสมัครสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทยมาให้กรอก ทั้งๆ ที่พรรคเศรษฐกิจไทยยังไม่มีการประชุมแต่งตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ “บิ๊กป้อม” ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค สั่งการให้ พล.อ.วิชญ์ และ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปรับตำแหน่งดังกล่าว เข้าข่าย ผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28

การที่ “บิ๊กป้อม” สั่งให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ยังมีปมคาใจกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากเหตุการณ์ “กบฏธรรมนัส” ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจทีผ่านมา ออกจากพรรคพลังประชารัฐแต่ไปอยู่กับ “น้องในไส้” ตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งเกิดคำถามคาใจ ภาพความขัดแย้ง “2 ป.” หรือเล่นการเมืองตีสองหน้า??

ในขณะที่สภาพรัฐบาลเข้าสู่โค้งสุดท้ายก็ง่อนแง่น เป็น “เรือแป๊ะ” ที่มีรอยรั่วทั้งจากศึกภายนอกและสนิมเนื้อในรัฐบาล พร้อมล่ม “เรือแป๊ะ” ให้ล่มสลายได้ทุกเวลา สะท้อนได้จากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ทั้ง 3 เขต คือ จ.ชุมพร สงขลา กรุงเทพฯ ที่วันนี้ “บิ๊กตู่” เริ่มไร้จุดขาย ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 หากต้องมีการเลือกตั้งก็ไม่รู้ว่า “บิ๊กตู่” จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งหรือไม่ โอกาสสูญเสียอำนาจมีสูง และหากวันใดลงจากหลังเสือโดนคิวจองกฐินยาวเหยียด ถึงขั้นสาหัส และหากจะต้องรักษาอำนาจต่อไปก็ยังพอมีหนทาง??

จึงไม่แปลกใจที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะอออกมาปูดข่าว สุดหลอนได้กลิ่น “รัฐประหาร” โชยเข้าจมูก เพราะตรงนี้เป็นการสืบทอดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะวิธีการอื่นใช้ไม่ได้ ยุบสภาก็ไม่กล้ายุบ เพราะประชาชนจะตัดสิน จะเปลี่ยน ครม.ก็อาย ไม่กล้า ประเภทยอมหักไม่ยอมงอ ตัวเองตาย ประเทศชาติตาย เขาทำเช่นนั้น การรัฐประหารคือวิธีการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ขณะที่ในมุมของพรรคเพื่อไทยเองก็ยังแหยงมีชนักในเรื่องยุบพรรค จ่อคอหอยอยู่หลายกรณี ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ ระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ” ใครจะล่มสลายก่อนกัน เพราะการเมืองวันนี้เขาเล่นกันแบบถึงตาย!!