เมื่อวันที่ 15 เม.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้ว แต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เม.ย. 67 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือน ม.ค.-เม.ย. เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% ตนมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์ถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้

ส่วนเรื่องของกรมศุลกากร ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี จากรายได้ของประเทศ ปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน 3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ 1 แสนล้าน คิดเป็นประมาณ 3% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้ 3% แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อน ที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อน จนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด ซึ่งตนได้พูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ได้แค่ 3% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ ในหลายมิติ หรือเรื่องภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหล ทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร


นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ตนไม่สบายใจหรือพึงพอใจ ตนขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไป และทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด

นายกรัฐมนตรียังยอมรับว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค 141 เสียงจาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้นตนขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วนทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

เมื่อถามว่าการเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯ มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ นายกรัฐมนตรีมีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หน้าที่ของตนไม่ไช่การเซฟตัวเอง ตนมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเอง ตนไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนไม่มีแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ส่วนตัวของผมลงตัวแล้ว ตนมีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองตนไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งตนย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป ตนมีเรื่องเดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน


เมื่อถามต่อว่าการมานั่งเป็นผู้นำ อาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน นายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่า คนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตนอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้น ก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าหากอีก 3 ปีครึ่ง ต้องมีเพื่อนน้อยลง แลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม

เมื่อถามอีกว่า มุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่า นักการเมืองเลวเพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้นการที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ตนคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกตนไปนิดหนึ่ง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไร ก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า “Bigger bang for the buck” หมายความว่า หากใส่เงินไป 1 บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า 1 เหรียญ โดยนายกรัฐมนตรียกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่า หากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วม แล้วก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อ คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง