เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ร่วมกับ วัดช้างเผือก ต.ในเมือง และวัดทุ่งสะเดียง ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จัดงานประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายกลบธาตุ ประเพณีเก่าแก่ที่แสดงถึงความกตัญญูต่อบุพการีที่สืบทอดกันมานับร้อยปี โดยมีพี่น้องประชาชนทั้งสองตำบล มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

นายเสกสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ช่วงก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี จะมีการจัดงานประเพณีวันตรุษไทย ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 4 ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 31 มี.ค. โดยวัดทุ่งสะเดียง และวัดช้างเผือก ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ได้จัดประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายกลบธาตุ ซึ่งเป็นประเพณีที่มีความสำคัญ และทรงคุณค่าสำหรับชุมชนทั้ง 2 แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเพณีดังกล่าว ไม่ใช่แค่การแสดงออกถึงการน้อมนำเป็นพุทธบูชาพระพุทธรัตนตรัยเท่านั้น แต่ตามพุทธประวัติบอกไว้ว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ได้โปรดประทานพระธรรมเทศนาต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อครั้งเกิดกุศลจิตเลื่อมใสศรัทธาอันแรงกล้าต่อพุทธศาสนา โดยทรงก่อเจดีย์ทรายถวายถึง 84,000 องค์ ให้ถือว่าเป็น “บุญใหญ่” ทำให้ชาวพุทธทั้งหลายต่างถือปฏิบัติกระทำเป็นประเพณีสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

ประเพณีการก่อพระเจดีย์ทรายของชาวบ้าน 2 ชุมชนนี้ ไม่ใช่แค่มีศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังแฝงถึงความเชื่อด้วยว่า การก่อพระเจดีย์ทรายยังเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบุพการี รวมทั้งญาติพี่น้องที่ล่วงลับ ขณะเดียวกันยังสานสัมพันธไมตรีในหมู่เครือญาติและครอบครัว รวมทั้งทำให้เกิดความรักสามัคคีขึ้นในชุมชนอีกด้วย

รูปแบบของการก่อพระเจดีย์ทรายของชาวบ้านวัดทุ่งสะเดียง และวัดช้างเผือก อาจจะแตกต่างไปจากที่อื่นบ้าง เนื่องจากจะมีการนำ “ธาตุ” หรือ “อัฐิ” หรือ “เถ้ากระดูก” ของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว มาทำพิธีกลบทรายฝังธาตุ เพื่อให้อัฐิหรือเถ้ากระดูกได้สัมผัสกับธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แฝงด้วยความเชื่อที่ว่า เป็นการอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต หรือผู้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้ดวงวิญญาณสู่สัมปรายภพอย่างสุคติ นอกจากนั้น การที่แต่ละคนได้มาสัมผัสกับกระดูกหรือธาตุของญาติพี่น้องที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาก่อน ยังเป็นการสื่อคติสอนใจถึงความไม่เที่ยงของสังขาร เพื่อให้ผู้มีชีวิตอยู่ได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และควรดำรงตนอยู่ด้วยการมีสติ และไม่ประมาทอีกด้วย

สำหรับในปีนี้ มีชาวบ้านทั้ง 2 ชุมชน เข้าร่วมมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาถึง 164 กอง โดยลูกหลานได้เริ่มทยอยนำทรายและดอกไม้ รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ มาก่อและประดับเจดีย์ทรายตั้งแต่เช้า กระทั่งในช่วงบ่ายจึงประกอบพิธีทางศาสนา

แต่เดิมนั้น ก่อนถึงวันประกอบประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายกลบธาตุ ชาวสะเดียงจะช่วยกันตีฆ้องร้องป่าว ประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้และเตรียมตัวไปร่วมงานก่อน 3 วัน ช่วงนี้เองที่บรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัดจะเดินทางกลับมาร่วมทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการีและญาติที่เสียชีวิต เมื่อถึงวันก่อพระเจดีย์ทราย ชาวสะเดียงก็จะนำอัฐิหรือเถ้ากระดูกติดมาที่วัด ซึ่งระหว่างการก่อพระเจดีย์ทราย จะนำโกศหรือภาชนะที่บรรจุเถ้ากระดูกฝังไว้ จากนั้นนำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีพระภิกษุนำสวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต หากปฏิบัติติดต่อกัน 3 ปี ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเพณี จากนั้นจะนำไปบรรจุไว้ตามสถานที่ต่างๆ หรือนำขึ้นหิ้งเพื่อบูชา ผู้ที่มาร่วมก่อเจดีย์ทรายล้วนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัว ทั้งเด็กๆ ผู้หญิงและคนชรา ทุกคนต่างใช้สองมือช่วยกันตบแต่งกองทรายกองเล็กๆ จนกลายเป็นเจดีย์ทรายเล็กๆ มีการตกแต่งประดาด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม และนำโกศบรรจุอัฐิมากลบฝังหรือตั้งไว้ข้างพระเจดีย์ทราย เพื่อรอให้ผู้สูงอายุที่ทรงศีลมาสวดบังสุกุลให้ ถือเป็นการจบพิธี