ตอนนี้สถานการณ์โควิดในประเทศไทยนั้นน่ากลัว มีผู้ติดเชื้อวันละ 15,000 คนขึ้นแล้ว ความหวังของประชาชนอยู่ที่การได้วัคซีนมาเร็ว โดยเฉพาะกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลรีบนำเข้าวัคซีน mRNA มาใช้ เพราะเชื่อว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าวัคซีนเชื้อตาย และยังป้องกันการแพร่กระจายได้ ซึ่งเอาจริง เรื่องการผลิตวัคซีนนี่ก็ต้องทำความเข้าใจว่า “ความเป็นโรคอุบัติใหม่” ทำให้วัคซีนแต่ละชนิดอยู่ในกระบวนการพัฒนาทั้งนั้น

แม้ว่าเราจะเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของไฟเซอร์เพียงใด แต่ก็มีรายงานข่าวจากต่างประเทศ อย่างอิสราเอล หรือสหรัฐอเมริกาว่า “ฉีดไฟเซอร์แล้วก็ยังมีติดและตาย” ไวรัสโควิดเป็นไวรัสที่สามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้เร็วมาก ตอนนี้ประเทศไทยโดยเฉพาะ กทม.กำลังอ่วมกับสายพันธุ์เดลตาหรือสายพันธุ์อินเดีย อีกซีกโลกก็ว่ามีสายพันธุ์ใหม่ร้ายกาจกว่าเดิมเข้ามาอีกแล้วคือแลมป์ดา ซึ่งระบาดอยู่ในเปรู อเมริกาใต้โน่น

การวิจัยวัคซีนจึงยังต้องทำต่อยอดไปเรื่อยๆ เป็นความหวังของมนุษยชาติที่ต้องการคุมโรคนี้ให้อยู่ ไม่ให้ระบาดหนักล้มตายกันเป็นว่าเล่นแบบไข้หวัดสเปนเมื่อหลายปีก่อน เราคาดหวังกับวัคซีนได้ แต่ก็ต้องย้ำว่า “มันยังเป็นกระบวนการพัฒนา ต้องสู้กับศัตรูที่มีอาวุธใหม่ๆ มาเรื่อยๆ” สิ่งที่จะป้องกันตัวเราได้ควบคู่กับวัคซีน คือการระมัดระวังป้องกันตัวเอง รักษาความสะอาด เว้นระยะห่าง ใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัลไปสักพัก

เรื่องหนึ่งที่อยากให้เราๆ คิดคือ “อย่าเห็นแก่ตัว” ในภาวะการแพร่ระบาด เรื่องเว้นระยะห่างเป็นไกด์ไลน์ที่ใช้กันทั่วโลก ก็งดๆ ไอ้เรื่องประเภททำเกรียนกฎมีไว้แหกบ้างเถิด เห็นข่าวบางข่าวแล้วได้แต่ถอนหายใจ อย่างข่าวจับปาร์ตี้ที่สงขลา 48 คน พบผู้ติดเชื้อโควิดส่วนหนึ่งด้วย แล้วก็ยังมีพวกข่าวจับบ่อนอีก คนไม่ระวังตัวกลุ่มนี้ พอติดเชื้อมา แต่ไม่แสดงอาการ ก็ เป็นพาหะแพร่ให้คนอื่น โดยเฉพาะน่ากลัวว่าไปแพร่ให้คนอ่อนแออย่างคนแก่หรือคนมีโรคประจำตัว

อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย  หลายคนออกมาบ่นว่า ทำไมรัฐบาลโทษคนไทยเรื่องไม่มีวินัย ทั้งที่ให้ความร่วมมือทุกอย่างแล้ว ลองมองมุมว่าเขาตำหนิพวก “ตลาดล่าง” ที่ไม่สนใจอะไรเห็นแก่ความสุขส่วนตัวอย่างเดียว ถ้าเราจะให้เรื่องการแก้ปัญหามันรัดกุมขึ้น เจอการรวมกลุ่มหรือพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้ ก็ติดต่อไปยังเบอร์คอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลให้จัดการเสีย โฆษกรัฐบาลแถลงว่ามีเบอร์ 191, 1599, 1138 ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิดนั้น ได้คุยกับหมอหน้างานรายหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจดี จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง จากสถิติเมื่อวันที่ 26 ก.ค.มีผู้ป่วยสะสม 483,815 คน แน่นอนว่า กทม.ครองแชมป์เยอะที่สุด จนกระทั่งเกิดภาวะเตียงโรงพยาบาลไม่พอ ผู้ป่วยอื่นไม่สามารถเดินเข้าไปรักษาตรงได้ ที่น่าห่วงคือผู้ป่วยโรคอื่นอย่างมะเร็ง หัวใจ ที่มีคิวต้องผ่าตัด แต่เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาลมีจำนวนไม่พอ ห้องพักก็ไม่มี ได้รับความเดือดร้อนแค่ไหน เสียชีวิตกี่คน เราไม่รู้

ซึ่งโควิดเป็นโรคที่ถูกสื่อสารสร้างความกลัวมาก ทำให้คนติดก็ต้องการเตียง ต้องการถึงหมอ เตียงในโรงพยาบาลก็ไม่พอ ซึ่งถ้าสามารถแยกเอาผู้ป่วยสีเขียว เพิ่งติด อาการไม่หนักมาก ออกนอกโรงพยาบาล รับแต่ผู้ป่วยสีส้มที่อาการค่อนข้างจะไม่ดี และผู้ป่วยสีแดงที่อาการหนัก ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องเตียงโรงพยาบาลได้มาก ดังนั้น นโยบายที่น่าจะรีบนำมาประกาศใช้แบบจริงๆ จังๆ คือ home isolation หรือกักตัวที่บ้าน

กระบวนการมันควรต้องยอมรับผลตรวจจาก rapid antigen test kit ซึ่งข่าวว่าอนุมัติให้ขายในร้านที่มีเภสัชกรแล้ว แต่มีเสียงบ่นว่าราคามันแพงเหลือเกิน ซึ่งคนนึงการตรวจก็ไม่ได้ใช้ครั้งเดียวจบ ดังนั้นตรงนี้กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาควบคุมราคาได้หรือไม่ หรือทำสวัสดิการแจกฟรี ไหนๆ ก็มีเงินกู้และงบกลางอยู่ก็ปันออกมาใช้ได้ ไม่อย่างนั้นคนจนจะเข้าไม่ถึง แต่ก็มีคนมาบ่นถึงเรื่องความสับสนอยู่ว่า ตกลงจะยอมรับเฉพาะผลตรวจ RT PCR หรือเปล่า

ถ้ายอมรับเฉพาะผลตรวจ RT PCR ให้เข้ากระบวนการรักษา หรือกระบวนการทำ home isolation ก็เห็นจะลำบากเข้าไปอีก เพราะ สถานที่ตรวจก็ไม่ค่อยจะพอ ส่งไปอ่านแลปก็ต้องรอ เอาเร็วก็เอกชน ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายซึ่งเข้าหลักพันแล้ว พอตรวจแพง ตรวจช้า คนก็เข้าไม่ถึงการตรวจและกลายเป็นพาหะได้โดยที่ไม่รู้ตัว ตรงนี้ก็ต้องขอความชัดเจนจากกระทรวงสาธารณสุขเลยว่า ถ้าผลตรวจ rapid antigen test kit ออกมาเป็นบวก ก็เข้ากระบวนการรักษาได้

และเพื่อไม่ให้เป็นภาระเตียง สำหรับผู้ป่วยในภาวะเริ่มแรก ก็ให้ทำ home isolation หลังตรวจเองแล้วเจอ ซึ่งตอนนี้เริ่มเปิดให้บริการขอเข้าระบบ home isolation ที่เว็บไซต์ https://crmsup.nhso.go.th  หรือไลน์ @nhho ถ้ายังไม่รับรับการติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง หรือติดต่อโรงพยาบาลตามสิทธิของเราไม่ได้ ก็ให้โทรฯ ไปที่เบอร์สำหรับสิทธิบัตรทอง สายด่วน สปสช.1330 กด 14 สายด่วนสิทธิประกันสังคม 1506 กด 6 ซึ่งรัฐบาลควรเพิ่มคู่สายเพราะตอนนี้โทรฯ ติดยาก

แต่ก็มีบางคนที่คงจะไม่สะดวกในเรื่อง home isolation เพราะ ข้อจำกัดเรื่องที่อยู่ อย่างอาศัยอยู่ในเขตชุมชนแออัด หรือกระทั่งพวกอาศัยในคอนโดฯ เพื่อนบ้านรู้ว่าติดก็กลัวกันหมดแล้ว ดังนั้น รัฐบาล กทม. ควรต้องเปิด community isolation หรือสถานที่กักตัวเพิ่มเติมให้ จะขอใช้พื้นที่วัด โรงเรียน ค่ายทหารอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องเอื้อให้พวกเขามีพื้นที่กักตัวไม่ใช่ต้องไปออกันที่โรงพยาบาลธรรมดาหรือโรงพยาบาลสนามเท่านั้น

เมื่อเข้าระบบ ก็ต้องมีการส่ง เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ อาหารสามมื้อ ยาที่จำเป็นอย่างฟาวิฟิราเวียร์ หรือยาสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร หรือยาอื่นตามที่หมอเห็นสมควร และต้องมีระบบ tele-MED จากหมอและพยาบาล (ซึ่งน่าจะขยายไปให้ครอบคลุมนักเทคนิคการแพทย์และเภสัชกรด้วยในการให้คำแนะนำ โดยหมอช่วยเวิร์กช็อป) การ tele-MED จะขึ้นกับกลุ่มแพทย์ราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย

และเมื่อหมอได้สังเกตอาการ ถ้า มีภาวะไอถี่ๆ หายใจลำบาก ถ่ายเหลว 3 ครั้งต่อวัน มีแนวโน้มจะเข้าสีส้ม ก็ต้องรับเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาให้ทันท่วงทีก่อนจะกลายเป็นผู้ป่วยสีแดง ทั้งนี้ รัฐบาลควรดึงทรัพยากรจากหน่วยงานอื่นมาช่วยในการทำ tele-MED เช่น กระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการช่วยส่งข้าวส่งน้ำ คมนาคมในการขนส่งผู้ป่วย ตลอดจนสนับสนุนภาคเอกชนเข้าช่วยไม่ใช่กองงานอยู่ที่สาธารณสุข

ในส่วนของ ส.ส.ก็มีหลายคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องส่งผู้ป่วยจาก กทม.กลับไปรักษาตัวที่บ้าน อย่าง น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ที่ประสานทางกระบี่ให้รับผู้ป่วย หรือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ก็พากลับพะเยา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ก็ประสานส่งกลับในเขตอีสานใต้ คนไทยต้องสามารถติดต่อกับทีมงานหรือตัว ส.ส.พื้นที่ของตัวเองเพื่อประสานงานขอกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้  และเรื่องขั้นตอนราชการที่ล่าช้าก็ต้องลดๆ ลงบ้างเถิด

ต้องทำงานเป็นเอกภาพ หลายภาคส่วนลงมาช่วย ประชาชนให้ความร่วมมือ ในภาวะวิกฤติเช่นนี้.

…………………………………

คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่

โดย “บุหงาตันหยง”