ขณะที่อีกกรณีต้มตุ๋นนี่ก็ชวนอึ้ง!!…คือ “ตุ๋นทุนเรียนฟรีที่จีน” โดยมีการจับกุมสาวรายหนึ่งที่ถูกผู้เสียหายจำนวนมากแจ้งความเอาผิด เพราะไม่สามารถหาทุนเรียนฟรีที่จีนให้ได้ตามที่กล่าวอ้าง ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการตุ๋นที่เกี่ยวกับต่างประเทศนั้นมักเป็นกรณี “ตุ๋นไปทำงานต่างประเทศ” แต่ตอนนี้ ตุ๋นกันตั้งแต่เรื่องเรียนต่างประเทศเลย ก็มี!!ซึ่ง เหยื่อแต่ละรายสูญเงินหลักหลายแสน

“ตุ๋นเรื่องเรียน” นี่ “ชวนให้มีปุจฉา??”

ว่า “เหตุใดไทยจึงเกิดการตุ๋นเช่นนี้??”

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเป็นการ ต้มตุ๋นโดยอ้างว่าหาทุนเรียนต่อฟรีที่จีนให้ได้ ซึ่งกับปรากฏการณ์ต้มตุ๋นกรณีนี้ก็มี “มุมวิเคราะห์” โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ ที่สะท้อนผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… กรณีที่มีการหลอกลวงว่าสามารถพาไปเรียนที่จีนได้ อีกทั้งอ้างว่าสามารถหาทุนเรียนฟรีให้ได้อีกด้วยนั้น การมีกรณีแบบนี้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะปัจจุบันการไปเรียนต่อที่จีนได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่หลายคนอาจไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะไปเรียนต่อประเทศดัง ๆ เช่น อเมริกา ยุโรป ทำให้ “จีนเป็นเป้าหมายมาแรง”

ผู้ที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศสนใจ…

ด้วย “ต้นทุนน้อยกว่าไปประเทศอื่น ๆ”

และด้วยเหตุนี้นี่เอง จึงเกิด “ธุรกิจพาคนไทยไปเรียนต่อจีน” เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็เป็นไปตาม “กลไกตลาด-กลไกธุรกิจ” ที่เมื่อมีดีมานด์ก็ย่อมมีซัพพลาย โดยส่วนใหญ่บริษัทหรือผู้ที่รับดำเนินการก็มักจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการไปเรียนที่จีนมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น “คนที่รู้จริง” แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่จีนกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของนักศึกษาไทยที่สนใจไปเรียนต่างประเทศ นี่ก็จึงทำให้มีมิจฉาชีพแอบแฝง” เข้ามาแสวงหาเหยื่อเพื่อต้มตุ๋น”

รศ.ดร.สมชาย ระบุอีกว่า…นอกจาก “ปัจจัยความนิยม” ที่ปัจจุบัน “จีนกลายเป็นตลาดใหม่ของนักศึกษาไทย” แล้ว อีกปัจจัยที่ก็ต้องพูดกันตามตรงแรง ๆ คือ…การที่มีผู้หลงเชื่อยอมจ่ายเงินหลักแสนหวังแลกกับการได้ทุนไปเรียนฟรีนั้น ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะ “ภาวะเศรษฐกิจในกระเป๋าเงินเป็นเหตุ” แต่กระนั้นก็ไม่อาจมองข้าม “ค่านิยมผิด ๆ” ที่บางคน “ยอมจ่ายเงินเพื่อจะหาช่องทางทำให้ได้ทุนเรียนฟรีแบบไม่ต้องสอบแข่งขัน” ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ “มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียรู้”

ย้อนกลับมาโฟกัสที่ “จีน…เป้าใหม่เรียนต่อของนักศึกษาไทย” ทาง รศ.ดร.สมชาย มองว่า… สาเหตุที่มีนักศึกษาไทยสนใจไปเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะ “สาขาแพทย์” ส่วนตัวคิดว่า…เนื่องจากที่ผ่านมาในอดีตการจะเข้าเรียนแพทย์ในประเทศไทยเองดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งแม้ปัจจุบันอาจง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่กระนั้นก็ยังยาก และต้องแข่งขันมาก อาจด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้หลายคนหันเป้าหมายจะไปเรียนแพทย์ที่เมืองจีนแทน ซึ่งเท่าที่ทราบการจะเข้าเรียนแพทย์ที่จีนนั้นก็มีขั้นตอนกฎเกณฑ์มาก…แต่อาจไม่ยากเท่าที่ไทย ขณะที่ “ค่าเล่าเรียน” แม้ที่จีนก็สูงพอสมควร แต่พอเทียบกับไทยแล้ว หลายคนอาจจะมองว่า…

“ที่จีนถูกกว่า” หรือ “ที่จีนพอจ่ายไหว”

จึงได้ “ตัดสินใจเลือกจะไปเรียนที่จีน”

“อย่างคนรุ่นผม หลายคนพอเข้ามหาวิทยาลัยไทยไม่ได้จะไปอเมริกา จะไปอังกฤษ ก็ไปไม่ได้ เพราะจะไปได้ต้องเป็นคนที่มีเงินมากพอสมควรเลย ทำให้ตอนนั้นคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไทยไม่ติดจึงมุ่งไปเรียนต่อที่ประเทศฟิลิปปินส์แทน ซึ่งถูกกว่าและมีมหาวิทยาลัยให้เลือกเยอะมาก” …รศ.ดร.สมชาย ระบุ ซึ่งก็สะท้อนภาพ…

การที่ “เข้ามหาวิทยาลัยในไทยไม่ได้”…

“เรียนนอก” เป็น “ทางเลือกมาแต่อดีต”

ทั้งนี้ สำหรับประเทศ “จีน” นั้น อีกเรื่องที่เป็น “แรงจูงใจทำให้คนไทยเลือกที่จะไปเรียนต่อ” ทาง รศ.ดร.สมชาย วิเคราะห์และสะท้อนกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ว่า… มีเรื่องภาพลักษณ์และความรู้สึกรวมอยู่ด้วย เพราะคนไทยรู้สึกว่าไทยกับจีนมีวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตไม่ค่อยต่างกันมาก ไม่เหมือนโซนยุโรปหรืออเมริกา …ซึ่งจาก “องค์ประกอบ-ปัจจัย” ต่าง ๆ ดังที่ระบุมา เหล่านี้นี่เองทำให้เกิด “บริษัท-นายหน้า” รับเป็นธุระจัดหาสถานที่เรียนให้คนไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ และเมื่อ “ตลาดการศึกษาจีนได้รับความนิยม” นี่ก็ทำให้ “เกิดมิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้” เพื่อ “ต้มตุ๋น” ด้วย…

“คำแนะนำคือ…ก็ต้องตรวจสอบดูให้แน่ใจเสียก่อน โดยอาจจะใช้วิธีสอบถามจากคนที่มีประสบการณ์เคยไปเรียนจริง ๆ และก็ต้องถามและดูรายละเอียดให้ดี ๆ ว่าจะส่งไปเรียนที่ไหน? รวมถึงก็ต้องดูด้วยว่ามีสถาบันที่น่าเชื่อถือรับรองหรือไม่? ถ้าไปเรียนแพทย์ แพทยสภาไทยรับรองหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้นแม้จะได้ไปเรียนจริงแต่จบมาแล้วก็อาจมาประกอบอาชีพในไทยไม่ได้” …เป็นคำแนะนำจาก รศ.ดร.สมชาย เพื่อป้องกันเป็นเหยื่อ “ต้มตุ๋น”

“ตุ๋น!!” มีตั้งแต่ภาคเกษตรยันเงินไฮเทค

และ อยากเป็นนักศึกษาที่จีนนี่ก็ระวัง”

“ไปง่ายมีทุนเรียนฟรี” นี่ ระวังเปื่อย!!” .