ในที่สุด…สิ่งที่ทุกคนต่างรู้อยู่แก้ใจว่าต้องเกิดแน่ ๆ ก็มีมาให้เห็น เรื่องนี้อย่าเข้าใจผิดว่า “ภูเก็ตแซนบอกซ์” ทำพิษ ไม่ใช่หรอก!! ไม่ใช่เรื่องนั้น!!

แต่สิ่งที่ “ช่อชมพู” กำลังอ้างถึง ก็คือเรื่องของ “หนี้ครัวเรือน” ถามหน่อย!! เวลานี้จะมีสักกี่คนที่ไม่มีหนี้!! เอาจริง ๆ นะ การมีหนี้ใช้ว่าเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องน่ากลัว หากหนี้เหล่านั้นเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นหนี้ที่ทำให้มีเงินในกระเป๋า

ตราบใด ที่หนี้ก้อนนั้น กลายเป็นหนี้เน่า กลายเป็นหนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่าย!! นั่นแหล่ะ…ความอันตราย ความน่ากลัง กำลังจะบังเกิดกับชีวิตของคุณ ๆ ท่าน ๆ

ข้อสำคัญ หากหนี้เหล่านั้น เป็นหนี้ที่กู้ยืมมาจากบรรดานายทุนหน้าเลือดนอกระบบทั้งหลายแหล่ คุณ ๆ เอ๊ย อาจถึงชีวิตสักวัน ก็เป็นไปได้ ก็เห็นข่าวกันอยู่บ่อย ๆ อยู่แล้วนะ ว่าคนพวกนี้ โหด!! แค่ไหน ถามใจคุณดู

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องของ “หนี้ครัวเรือนไทย” บร๊ะเจ้า!! คุณ ๆ รู้มั๊ย ปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว 14.13 ล้านล้านบาท แล้วจ้า!!

ไม่เพียงเท่านี้ หนี้ครัวเรือนก้อนนี้ ได้ทุบสถิติยอดหนี้ครัวเรือนไทยตลอด 18 ปีที่ผ่านมา อีกต่างหาก เพราะคิดเป็น 90.5% ของจีดีพีของประเทศค่ะ

แถมหนี้ครัวเรือนไทยก้อนนี้ยังเป็นเพียงหนี้ ณ ไตรมาสแรกของปี 64 นั่นหมายความว่า ยังไม่รวมหนี้ที่เกิดขึ้นในเดือนเม.ย.-มิ.ย.64 นะ ซึ่งเป็นช่วงที่ผลการระบาดของไวรัสโควิดในระลอกที่ 3 กำลังสาหัสสากรรจ์กันทีเดียวเชียว

แล้วลองคิดกันดูค่ะ… ถ้าโควิดยังไม่จบ แต่กิจการ ธุรกิจ โดยเฉพาะของคนตัวเล็กตัวน้อย รวมไปถึงประชาชนคนไทยตาดำ ๆ ได้จบเห่กันแน่

เมื่อเงินไม่เข้ากระเป๋า แต่หนี้ยังมีอยู่ อย่างที่บอก หากเป็นหนี้เน่าเข้าด้วยแล้ว แม่คุณเอ๊ย เมื่อถึงสิ้นปี คงอัพชั้นขยับไปจนถึง 92% โน่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนี้บ้าน หนี้ทำมาหากิน และหนี้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ต่อให้รัฐบาลแอ่นอกสั่งทั้งแบงก์รัฐ แบงก์ชาติ แบงก์เอกชน ช่วยกันลดหนี้ลดดอก พักหนี้พักดอกไว้ก่อนก็ตาม

อย่างที่บอกในเมื่อไม่มีเงินเข้ากระเป๋า รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทำยังไงซะ หนี้ก็ไม่หดไม่หายไปแน่นอน นอกจากฝันหวานไปก่อนว่า เค้าจะยกหนี้ให้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

แม้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น แล้วยังสวนทางกับเศรษฐกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยประเทศเดียวก็ตาม เอาเข้าจริง…ถ้ามองย้อนกลับไป ตอนที่ยังไม่มีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ก็แทบจะเรียกได้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในลำดับต้น ๆ ด้วยช้ำไป

ที่สำคัญ!! ปัญหาเชิงโครงสร้างเช่นนี้ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมกันวางแนวทางแก้ไข เพื่อให้ภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นอยู่ในวิสัยที่รับได้

แม้ทุกวันนี้โลกออนไลน์ โลกไซเบอร์ กำลังมาแรง ใครที่ปรับตัวได้ ใครที่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็สามารถที่จะเกาะกระแส หารายได้จากกระแสออนไลน์ ได้ไม่น้อยเช่นกัน มีหลายคนมีหลายเคส ที่กลายเป็นเศรษฐีในช่วงไม่กี่เดือนไม่กี่ปี

ขณะเดียวกันหากกลับมามองพื้นฐานของคนไทยจริง ๆ แล้ว คงมีเพียงส่วนน้อยนิด เท่านั้นที่สามารถขยับตัวปรับตัวให้ไปกับโลกที่กำลังไหลลื่นไปข้างหน้าได้อย่างดี

แล้วก็เชื่อแบบแช่แป้งกันได้เลยว่า คนส่วนใหญ่ จำนวนไม่น้อย ที่ยังหลงทางกับการปรับตัว ขมวดรวมไปถึง…การสร้างหนี้เกินตัว!! ด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญ ความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ยังคงมีอยู่ให้เห็นถึง 11 เท่า ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปอย่างที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้ว่าอีก 20 ปี คนจนจะหมดประเทศ

ยิ่งเวลานี้ ยิ่งต้องเผชิญกับปัญหาไวรัสโควิด 19 เข้าให้อีก ยิ่งทำให้ช่องว่าง…ของคนจนกับคนรวย ย่อมขยับเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องมารอดูกันว่า การเดินหน้ามาตรการเพื่อช่วยลูกหนี้ เพื่อช่วยประชาชนคนไทย จะไปรอดจนถึงฝั่งฝันได้เพียงใด ท่ามกลางสารพันปัญหาที่มีอยู่ในเวลานี้.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”