เมื่อพูดถึง “พิพิธภัณฑ์” คนส่วนใหญ่มักไม่นิยมเข้าไปสักเท่าไร แต่เวลาไปต่างประเทศน่าแปลกที่ว่า สถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี กลับกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์” ทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเงินค่าเข้าชมมิใช่น้อย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรู้สึกของคนส่วนใหญ่คิดว่า “พิพิธภัณฑ์ไทย คร่ำครึล้าสมัย เมื่อเข้าไปแล้วไม่โก้เก๋เหมือนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในยุโรปหรืออเมริกา ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ของไทยได้พัฒนาไปแล้วไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือเอกชน และยังมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกชม ยิ่งในปัจจุบันนี้เป็นยุคปฏิรูปการศึกษา ที่สอนให้เด็กได้ศึกษาค้นคว้านอกเหนือไปจากการเรียนการสอนแล้ว “พิพิธภัณฑ์ นับได้ว่าเป็น “แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต”

ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ทางโลกตะวันตก ได้มีการตื่นตัวเก็บรวบรวม และสะสมทรัพย์สมบัติ มรดกต่าง ๆ ทั้งที่เป็นวัตถุ สิ่งของมีค่า สิ่งเก่าแก่ ที่หายากแปลก ๆ เพื่อเป็นหลักฐานทางมรดกวัฒนธรรมของชาติอันเป็นการแสดงถึงความเป็นใหญ่ และความมั่งคงของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมนั้น จะปรากฏขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาตินั้น ๆ ได้มีการรวบรวมหลักฐานที่เป็นศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ สิ่งประดิษฐ์จากการคิดค้นหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นสมบัติของชาติ มาประมวลเป็นหลักฐานให้ชีวิตของชนในชาตินั้น

สำหรับในประเทศไทย ผู้ริเริ่มดำเนินการรวบรวมวัตถุสิ่งต่าง ๆ เป็นคนแรกได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ที่พระที่นั่งราชฤดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นสถานที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ และต่อมาได้ย้ายมาจัดแสดงที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่มาของคำว่า “พิพิธภัณฑ์” ในเวลาต่อมา เมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพราะจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้ง “มิวเซียม” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 

ต่อมาใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหมู่พระที่นั่งทั้งหมด ในพระราชวังบวรสถานมงคล จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนครดูแลด้านโบราณคดี วรรณคดี เป็นที่รวบรวมสงวนรักษาโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติพิพิธภัณฑสถานพระนคร ได้มีการเปลี่ยนชื่อและหน่วยงานที่สังกัด อีกหลายครั้ง

จนกระทั่ง ได้มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาที่การพุทธศักราช 2518  จัดตั้งกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เส้นทางพิพิธภัณฑสถานไทย ที่เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่พิพิธภัณฑสถานประชาชน และพัฒนาต่อไปจากพิพิธภัณฑสถานที่เก็บรักษาสรรพสิ่งทั่วไป ไม่กำหนดประเภทแน่นอน มาเป็นพิพิธภัณฑสถานมากมายหลายประเภท ตามลักษณะของศิลปวิทยาการที่เกอิดขึ้นในโลก ทั้งทางศิลปะวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธุ์วิทยา สังคมวิทยา และสาขาวิชาอื่นๆ เป็นจำนวนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ และยังได้ยกระดับกิจการพิพิธภัณฑ์ไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

โดยเข้าเป็นสมาชิกสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ หรือ ICOM ซึ่งให้คำจำกัดความว่า “พิพิธภัณฑ์” ว่ามิใช่เป็นแหล่งเก็บรวบรวม สงวนรักษาศึกษาวิจัย และจัดแสดงเฉพาะวัตถุเท่านั้น แต่พิพิธภัณฑ์ไดัรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหลักฐานสำคัญต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ จากหลักฐานในอดีต สิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยนัยนี้พิพิธภัณฑสถานในประเทศไทยได้จัดตั้งขึ้นแล้วกว่า 200 แห่ง และได้มีการพัฒนารูปแบบกิจการ ให้มีความเป็นสถาบันการศึกษานอกรูปแบบที่สำคัญอีกด้วย 

รัฐบาลจึงประกาศให้ วันที่ 19 กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติได้รับพระราชทานพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2417 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน

และเพื่อปลูกฝังให้คนไทยรักและหวงแหนในศิลปวัฒนธรรม อันเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในวันพิพิธภัณฑ์ไทย โดยพิพิธภัณฑสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมกันเปิดพิพิธภัณฑสถานให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าไปชมศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อสร้างความรักความเข้าใจ ตลอดจนภูมิใจในความเป็นไทยโดยทั่วกัน.