กระแสการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ยังคงเป็น “ทอล์ค ออฟเดอะทาวน์” ในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง จากความไม่ชัดเจน ในหลาย ๆ ด้าน

จากรายละเอียดของโครงการ ที่ยังไม่มีข้อสรุป นอกจากจำนวนเงินที่แจกต่อคน 10,000 บาท และรัศมีในการใช้เงินที่เปลี่ยนจาก 4 ก.ม. เป็นภายในอำเภอ ตามภูมิลำเนา ของผู้ได้รับสิทธิ ที่เหลือ!! ยังไม่มีความชัดเจน

สุดท้าย!! ต้องรอให้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธาน เป็นผู้ตัดสิน และยังไม่รู้ว่าจะเรียกประชุมเพื่อตัดสินใจ เมื่อไหร่?

ด้วยความไม่ชัดเจน ของโครงการ และเป็นโครงการ “แมคเน็ต” ของพรรคเพื่อไทย จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวาง มีทั้งเห็นด้วยและขย่มซ้ำ

ที่สำคัญกลายเป็นว่า จากความไม่เห็นด้วย ก็บานปลาย กลายเป็นกระแส “การเมือง” รุมโจมตี “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการ

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

ถึงขนาดที่ “เศรษฐา” ต้องออกมากางแขน โอบอุ้มในทุกทาง พร้อมการันตีความรู้ความสามารถ ความตั้งใจในการทำงานของ “จุลพันธ์”

ปัญหาใหญ่!! ของโครงการแจกเงิน ดิจิทัลวอลเลต ไม่ใช่เรื่องอื่นใดเลย นอกจากปัญหาเรื่อง เงิน !! เพราะเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่า ณ เวลา นี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมีอยู่น้อยนิด ขณะที่รายจ่ายของรัฐบาลกลับเบ่งบานทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประจำ

เหตุฉะนี้…จึงทำให้ช่องว่างหรือจำนวนเงิน ที่จะนำมาลงทุน เพื่อพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่ง เติบโตอย่างยั่งยืน จึงแทบไม่มีเหลือ

ด้วยงบประมาณการลงทุน ที่มีอยู่น้อยนิด ได้กลายเป็นช่องโหว่ เป็นช่องว่าง ที่นักวิชาการในทุกด้าน ต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันถึงความจำเป็นที่ประเทศต้องลงทุน มากกว่าการกระชากเศรษฐกิจในห้วงเวลาที่กำลังผงกหัว

เหนือสิ่งอื่นใด!! ด้วยเงินงบประมาณ ที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย นั่นเอง!! จึงควรใช้ในสิ่งที่จำเป็น จึงควรใช้ในสิ่งที่ใช่ และมองไปในอนาคต อย่าคาดหวังเพียงแค่ “คำตอบทางการเมือง” เท่านั้น

ขณะเดียวกันแต่หากมองในมุมการเมือง ก็ใช่ว่า การกำหนดนโยบายเพื่อกระตุ้น กระชากเศรษฐกิจ จะเป็นเรื่องที่ “ผิด” เพียงแค่มุมมองในเชิงวิชาการ กับมุมการเมือง แตกต่างกันเท่านั้น!!

หากเข้าไปเจาะลุกในรายละเอียดของนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต. ไม่ใช่มีเพียงแค่ การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ที่ใช้วงเงินมหาศาลถึง 5.6 แสนล้านบาท

แต่นโยบายของพรรคเพื่อไทย มีทั้งหมด 70 นโยบาย จาก 15 ด้าน และมีกรอบวงเงินในการดำเนินงานตามนโยบาย ตลอด 4 ปี รวม 3 ล้านล้านบาท

ขณะที่ที่มาของเงินงบประมาณการดำเนินการตามนโยบาย ก็จะมาจากการบริหารจัดการงบประมาณและระบบภาษี อย่างนโนยบายเงินดิจิทัล วอลเลต พรรคเพื่อไทย ก็ระบุไว้ว่า มาจาก 4 ส่วน

ประกอบด้วย 1. การประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 67 จำนวน 2.6 แสนล้านบาท 2.ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจ จากนโยบาย จำนวน 1 แสนล้านบาท 3.การบริหารจัดการงบประมาณ จำนวน 1.1 แสนล้านบาท และ 4.การบริหารจัดการงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน จำนวน 9 หมื่นล้านบาท

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังลูกผีลูกคน จากสารพัดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การหวังพึ่งรายได้จากงบประมาณที่จัดเก็บได้ ได้กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ!!

อย่าลืมว่า!! พรรคเพื่อไทยมีนโยบาย ถึง 70 นโยบาย ที่ต้องใช้เงินงบประมาณ ทั้งจากนโยบายรถไฟฟ้ากทม. 20 บาท ตลอดสายในบางเส้นทาง ที่ต้องใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเติมอีกปีละ 8,000 ล้านบาท, นโยบายสมทบคนสร้างตัว วงเงิน 9 หมื่นล้านบาท, นโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ วงเงิน 3 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการบริหารจัดการน้ำ ที่ต้องใช้งบราว 5 แสนล้านบาท, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ใช้งบปีละ 8 หมื่นล้านบาท, , โครงการเชื่อมโยงรถไฟขนส่งสินค้าจากลาวสู่ท่าเรือแหลมฉบังและสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้งบปีละ 4.5 หมื่นล้านบาท

แถมด้วยโครงการเงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาท วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท, โครงการส่งเสริมและสนับสนุนเอสเอ็มอี วงเงิน3 หมื่นล้านบาท , โครงการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค ใช้งบ 2 หมื่นล้านบาท หรือแม้โครงการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ใช้งบ 8 พันล้านบาท เป็นต้น

นโยบายเหล่านี้ ล้วนใช้เงินงบประมาณ มาดำเนินการทั้งสิ้น แค่เพียงการแจกเงินดิจิทัล วอลเลต ยังถูก “ถล่ม” ซะขนาดนี้!!

แล้วนโยบายที่เหลือ คงไม่ต้องบอก!! กว่าจะผ่านได้!! คงไม่พ้นถูก “กระหน่ำ” ตามวิถีการเมืองแน่นอน!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”