มีเสียง “เรียกร้องให้จัดการเด็ดขาด”

เสนอ “ให้ใช้วิธีการที่ไม่ใช่วิธีเดิม ๆ”

เพราะ “แบบเดิม ๆ ไม่ได้ผลแล้ว??”

ทั้งนี้ เกี่ยวกับการที่จะ “แก้ปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์ให้ได้ผลดีขึ้น” นั้น ก็มีเสียงสะท้อนที่ทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่สังคมชาวพุทธไทย “น่ารับฟัง-น่าพิจารณา” โดยเป็นการสะท้อนมาจากทาง พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ที่ได้สะท้อนผ่านมาทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” โดยพระพยอมท่านระบุมาว่า… ในเวลานี้ดูเหมือนว่า “วงการสงฆ์อยู่ในช่วงขาลง” ไม่แพ้วงการอื่น ๆ ที่เกิดเรื่องไม่ดี-ไม่เหมาะสม เพราะในยุคนี้พระสงฆ์บางรูปที่บวชเรียนมามากพรรษา หรือแม้แต่พระระดับผู้ใหญ่บางรูป ก็ยังมีการประพฤติตนไม่สมควร จนยิ่งทำให้…

“ชาวพุทธไทยเหว่ว้าสิ้นหวัง” เพราะ…

“ศาสนา” ที่ยึดเหนี่ยว “เสื่อมคลอน!!!”

ทาง พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม ยังกล่าวถึงปัญหาเรื่องนี้เอาไว้อีก โดยสรุปนั้นมีว่า… ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยน่าสงสารมากที่สุด!!! โดยท่านขยายถึงเหตุผลที่ระบุเช่นนี้ว่า… เพราะองค์กรต่าง ๆ ที่ควรเป็นที่เชิดหน้าชูตา เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา ที่ผู้คนควรให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้ กลับมีการ “ประพฤติต่ำทรามกันถ้วนทั่ว” จนผู้คนรู้สึกว่าไม่มีที่พึ่ง จนอยากจะเรียกสถานการณ์ ณ ขณะนี้ว่า… “เป็นยุคศีลธรรมเสื่อมทรามขั้นสุด!!!” ในแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็น

“อาตมาเกิดมา 70 กว่าปี บวชมา 50 กว่าปี…ก็เพิ่งมาเจอใน 1-2 ปีนี้ที่ทุกวงการมีแต่ข่าวฉาวเหมือนกันหมด และที่น่าตกใจก็คือ…วงการสงฆ์ก็ดูเหมือนจะไม่แพ้วงการอื่น ๆ เพราะมีข่าวฉาวแทบไม่เว้นวัน” …พระพยอม กล่าว

พร้อมระบุต่อไปว่า… สิ่งที่อยากฝากก็คือ…อยากให้ทุก ๆ คนไปอ่านเรื่อง “ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์” ที่ท่าน พุทธทาสภิกขุ ได้แต่งไว้ โดยพระพยอมท่านบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่า…ในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องฉาว อาทิ เรื่อง “ภิกษุลามก” ซึ่งในหนังสือเขียนไว้ว่า…สมัยก่อนที่พระสงฆ์ยังจำวัดอยู่ในป่า ก็มีพระบางรูปวิปริตไปยุ่งกับลิงป่า หรือเสพเมถุนกับลิง ซึ่งก็สะท้อนว่า… พระก็เป็นกลุ่มหนึ่งในสังคม ที่เมื่อสังคมล้มเหลวทางด้านศีลธรรม พระเองก็มักจะล้มลงตามสังคมไปด้วย

พระพยอม ระบุอีกว่า… จากปรากฏการณ์ฉาวที่เกิดขึ้นกับแวดวงพระขณะนี้ ดูเหมือน “ยิ่งปรามยิ่งห้ามก็ยิ่งเยอะ!!!” ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้วนั้น… ที่ยังคงเกิดกรณีลักษณะนี้ไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่ก็มีการออกมาขู่-ออกมาเตือนกันซ้ำ ๆ บ่อย ๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะ “พระที่ทำผิดไม่รู้สึกกลัว” เพราะ “บทลงโทษมันน้อยกระจิ๊ดริด!!!” โดยพระบางรูปอาจมองว่า หากถูกจับได้ก็แค่ถูกจับสึก พอเรื่องซาก็แอบกลับเข้ามาบวชใหม่ได้ ดังนั้นจึง “ไม่ได้สร้างความเกรงกลัว” จนทำให้ต้องย้ำคิดย้ำทำในการเตือนไม่ให้ทำผิด …นี่เป็นการสะท้อนจากพระพยอม ที่น่าจะตรงกับอารมณ์ความรู้สึกสังคม ซึ่ง…

“พระบางรูปก็ไม่มีแม้แต่หิริโอตัปปะ!!!”

การ “ไม่มีหิริโอตัปปะ” นั้นหมายถึง “ไม่ละอายต่อบาปหรือการกระทำชั่ว ไม่เกรงกลัวต่อบาปหรือผลของการทำชั่ว” ทั้งนี้ กับมาตรการลงโทษในอดีตที่ใช้กำราบพระที่ประพฤติไม่เหมาะสมนั้น ทางพระพยอมระบุว่า… ในสมัยก่อนนั้นยังเคยมีบทลงโทษอย่างเด็ดขาดกับพระที่มีพฤติกรรมไม่ดี ซึ่งด้วยการนำมา “โบยเฆี่ยนให้หลาบจำ” ก็เคยมีมาแล้ว หรืออย่างในกัมพูชาก็มีการ “เฆี่ยนตี” ในการลงโทษพระเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทางพระพยอมท่านเน้นย้ำมาด้วยว่า… ที่ได้ระบุนี้เป็นแค่ยกตัวอย่างให้เห็นพัฒนาการของบทลงโทษ ที่ปรับเปลี่ยนตามยุค มิได้หมายความว่าจะให้ถึงขั้นกลับไปใช้บทลงโทษเช่นนี้

ทางพระพยอมท่านบอกถึง “มาตรการป้องกันปัญหา” ของวัดสวนแก้วว่า… เน้น “คัดกรองเข้มข้นผู้ที่จะเข้าบวช” ซึ่งพอทำดังนี้ก็ปรากฏว่ามีคนเข้าเกณฑ์บวชได้น้อยมาก…โดยปีนี้ยังไม่มีสักราย!!! และท่านก็เล่าผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… ที่เจอบ่อย ๆ ช่วงหลัง ๆ นี้ก็คือ เวลาออกบิณฑบาต ญาติโยมที่ใส่บาตรมักจะปุจฉาบ่อย ๆ ว่า…ทำไมพระยุคนี้เป็นอย่างที่เกิดเรื่องฉาวกันมาก??? ซึ่งท่านก็ได้แต่ตอบไปว่า “ก็เอือมระอาเช่นกัน” โดยสิ่งที่อยากขอญาติโยมไว้ก็คงมีแค่ “ไม่อยากให้เหมาเข่งพระทั้งหมด” เพราะถ้าเทียบแล้วสมัยนี้ก็คงไม่ต่างจากสมัยก่อน แต่ยุคนี้ “เรื่องฉาวมักปิดได้ไม่มิด”

ทั้งนี้ พระพยอม กัลยาโณ หรือ พระราชธรรมนิเทศ ท่านได้สะท้อนข้อเสนอแนะ “วิธีสกัดพระทำผิด” มาด้วยว่า… ที่พอจะเห็นแนวทางคือ “ควรเพิ่มบทลงโทษให้แรงขึ้นจากเดิม” โดยท่านมองว่า… “เพราะโทษเดิมอ่อนไป และอีกเรื่องที่อยากฝากพระคุณเจ้าทั้งหลายคือ ยังไงบวชทั้งทีก็ควรทำตัวเป็นพระหอม ด้วยการถือพระวินัยเคร่งครัด ไม่ใช่เป็นพระเนื้อเหม็นให้คนร้องยี้ ส่วนญาติโยมก็อยากฝากให้ช่วยปกป้องคุ้มครองพระดี ๆ เพื่อไม่ให้พระที่ไม่ดีย่ามใจ”

เหล่านี้เป็นแง่มุม “น่ารับฟัง-คิดทำ”

กรณี “แก้ไขวงการสงฆ์มัวหมอง”…

“เพิ่มโทษเหลือบผ้าเหลือง???”.