เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับ “เทศกาลถือศีลกินเจ” ประจำปี 2564 ที่ในปีนี้ตรงกับวันที่ 6-14 ตุลาคม เชื่อว่าหลายคนที่กินเจ ไม่เพียงแต่งดกินเนื้อสัตว์ หรือไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเท่านั้น แต่การกินเจต้องทำจิตใจให้สงบ ดีงาม มองบวก ไม่พูดโกหก ไม่นินทาว่าร้ายผู้อื่น

และไม่ใช่แค่ได้ทำบุญ แต่ยังมีสุขภาพดี และถือโอกาสลดน้ำหนักไปในตัวด้วย แต่สิ่งหนึ่งสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริโภคจะต้องมีความรู้และมีความเข้าใจหลักโภชนาการเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดี ซึ่งการกินเจแบบขาดความรู้ที่แท้จริงอาจได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพไม่เต็มที่ และการกินเจแบบหลงทางอาจทำให้เสียสุขภาพได้ แต่จะกินเจอย่างไรให้ได้ทั้งบุญและไม่เสียสุขภาพไปพร้อมๆ กัน “เดลินิวส์ออนไลน์” มีเคล็ดลับมาฝากทุกคน ตามมาอ่านกันได้เลย!!

วงการแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่า การถือศีลกินเจที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ เป็นการพักระบบการย่อยอาหารที่เคยกินแต่เนื้อสัตว์มาตลอด ซึ่งย่อยยากมากกว่าการกินผัก ผลไม้ เพิ่มใยอาหารไปล้างลำไส้ เปรียบได้ดั่งการ “ล้างพิษด้วยธรรมชาติ” ลดความเสี่ยงต่อการเกิด NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพราะให้แคลอรีต่ำ และในผักมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเพียบ แถมลดน้ำหนักได้ (ถ้ากินอย่างถูกต้อง)

สำหรับ 9 ข้อการกินเจเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ต้องกินแบบมืออาชีพที่มีความรู้ ซึ่งควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.ต้องมั่นใจว่ากินแล้วได้อาหารครบ 5 หมู่ ไม่ใช่เน้นกินแต่ผักเท่านั้น เพราะช่วงกินเจแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ 10 วัน แต่ร่างกายก็ยังต้องการสารอาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และไขมันอยู่เช่นเดิม ถ้าเราเน้นกินแต่ผักก็จะได้เฉพาะวิตามินและแร่ธาตุเท่านั้น

2.ต้องมั่นใจว่าได้โปรตีนจากพืชอย่างเพียงพอ อาหารเจทุกมื้อต้องปรุงและประกอบด้วยถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่วเสมอ เพราะมีกรดอะมิโนใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะกินพร้อมกับข้าว โปรตีนจากพืชมาจากเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตร และถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด

3.ควรกินข้าวกล้อง หรือแป้งที่ขัดสีแต่น้อย เพราะมีสารอาหารมากกว่าข้าวขาว แถมยังมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า ที่จะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลได้ช้าๆ จึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายได้

4.ต้องระมัดระวังการปนเปื้อนในอาหารเจ โดยเฉพาะสารเคมีที่ติดมากับผัก เพราะอาหารเจเน้นการกินผัก ดังนั้น ต้องมั่นใจว่าผักที่นำมาปรุงอาหารเจได้ล้างสะอาดปลอดภัยแล้ว รวมทั้งพวกเครื่องปรุงอาหารเจด้วย

5.ระวังอาหารเจที่มันจัดและเค็มจัด อาหารเจมักจะเป็นพวกทอดและผัด แม้กระทั่งต้มๆ แกงๆ ยังใส่น้ำมันเยิ้มทุกเมนู ทำให้เรามีโอกาสกินน้ำมันเกิน 6 ช้อนชา ใน 1 วันได้ และอาหารเจหลายเมนูมีรสเค็ม นั่นแปลว่าทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป หรือได้รับเกลือ 1 ช้อนชาต่อวัน มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตได้

6.ระวังการกินแป้งมากจนเกินไป เพราะนอกจากจะได้จากการกินข้าวในปริมาณที่มากเกินแล้ว อาจได้คาร์โบไฮเดรตจากแป้งสาลีที่นำมาแปรรูปให้ดูคล้ายเนื้อสัตว์ หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ แท้ที่จริงให้คาร์โบไฮเดรตล้วนๆ

7.ควรกินอาหารเจที่มีเมนูที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอ อาหารเจก็เหมือนเมนูอาหารธรรมดาทุกอย่าง ที่มีทั้ง แกง ต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง ยำ อบ น้ำพริก ยกเว้นเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์เป็นถั่วเมล็ดแห้ง ไม่ปรุงด้วยผัก 5 ชนิด และเครื่องปรุงต้องทำจากผลิตภัณฑ์ถั่วเมล็ดแห้งและเกลือ

8.กินเจระวังน้ำหนักขึ้น เพราะกินแป้งมากเกิน เนื่องจากไม่ได้กินเนื้อสัตว์มันระโหยเลยอัดแป้งเข้าไปซะล้นเกิน อีกอย่างเป็นเพราะกินอาหารเจที่มันระย่องเป็นประจำ

9.กินเจตามสูตร 2:1:1 สามารถลดน้ำหนักได้ โดยแบ่งจานข้าวออกเป็น 4 ส่วน ใน 2 ส่วน หรือครึ่งจาน เป็นผักที่สะอาดหลากหลายชนิด อีก 1 ส่วน เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเมล็ดแห้ง และเหลืออีก 1 ส่วน เป็นข้าวกล้อง แต่ต้องควบคู่การออกกำลังกายไปด้วย จะลดน้ำหนักได้แน่นอน

เทศกาลถือศีลกินเจถือเป็นช่วงที่เราจะได้สร้างบุญสร้างกุศลจากการงดบริโภคสัตว์ แต่ก็ต้องคำนึงถึงการบริโภตามหลักโภชนาการที่ไม่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นวิถีชีวิตที่ดีงาม เหมาะที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องรอให้ถึงเทศกาลกินเจแล้วค่อยทำ เช่น เมื่อออกเจแล้วอาจกินมังสวิรัติ หรือแมคโครไบโอติกต่อได้ โดยเน้นการกินผักผลไม้ต่อไป แต่อาจดื่มนม กินไข่ กินปลา มากกว่าเนื้อสัตว์ใหญ่ เป็นต้น

รับรองว่าถ้าทำได้ตามนี้ ปัญหาเรื่องอ้วน น้ำหนักขึ้น หรือขาดสารอาหารจะไม่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณอย่างแน่นอน ทำบุญให้ชีวิตคนอื่นแล้ว ก็ต้องทำบุญกับร่างกายตัวเองด้วยการดูแลมันให้ดีที่สุดด้วย..

ขอบคุณภาพประกอบ : Pixabay