การเมืองเริ่มเข้าฝักหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ไม่รับคำร้อง “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประประมุข ใน 6 ประเด็น เพราะยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ต่อจากนี้ทำให้บริบทการเมืองมาอยู่ในมือของ “ทักษิณ ชินวัตร” สามารถเดินเกมวางหมากได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จับสัญญาณได้จากการไปขึ้นเวที ‘Forbes’ ระบุว่า ไม่ตื่นเต้นรอฟังคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญแล้วจะก้าวไปข้างหน้า นรก-สวรรค์เห็นมาหมดแล้ว ชีวิตของตนเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์และผ่านความยากลำบากมามากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในโลกของธุรกิจ จึงโดดลงมาเล่นการเมือง
เพราะทุกครั้งที่ไปต่างจังหวัดก็ยังเห็นคนที่ยากจนเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้นจึงคิดว่านอกจากช่วยตัวเอง ช่วยครอบครัวแล้วทำไมไม่ช่วยคนที่ไม่มี ช่วงประสบความสำเร็จมากเห็นสวรรค์ในการเมือง และเห็นนรกตามมาทีหลัง นรกสวรรค์คือชีวิตตนเลย มีขึ้นและมีลง ตอนนี้คิดว่าน่าจะอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรกแล้ว
ขณะที่ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยักไหล่แล้วไปต่อ เตรียมโชว์เดียวไมโครโฟน แถลงผลงานรัฐบาลครบ 100 วันในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2567 เจ้าตัวกวักมือเรียกแฟนคลับให้รอฟังเลย เพราะเชื่อว่าทำให้คนไทยใจฟูได้
เพราะเมื่อดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ขยายตัว 3% พุ่งขึ้นจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไตรมาส 4 จะเติบโตต่อเนื่อง ไปถึงปี 68 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3%
สัญญาที่จีดีพีพุ่งขึ้นครั้งนี้ รัฐบาลได้ประเมินว่า เป็นเพราะการแจกเงินหมื่นเฟสแรกไปให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.51 ล้านคนที่ผ่านมา จึงถือได้ว่าเป็นผลงานโดดเด่นของ “รัฐบาลแพทองธาร” ประสบความสำเร็จได้สร้างเม็ดเงินลงในระบบเศรษฐกิจ และมีผลต่อจีดีพีประเทศ
ล่าสุดเตรียมแจกเงินหมื่นเฟสสอง เป็นเงินแต๊ะเอีย ให้กับเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 4 ล้านคน กำหนดวันดีเดย์ก่อนวันที่ 29 ม.ค.68 หรือก่อนตรุษจีน
ตามด้วยโครงการเฟส 3 เซ็ตวงเงินไว้ที่ 1.4 แสนล้านบาท คาดจะเริ่มช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.68 กลุ่มนี้จะได้รับเงิน 10,000 บาทผ่านระบบวอลเล็ตไม่แจกเป็นเงินสด
งานนี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการของรัฐบาลสวนทางไม่เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ เมื่อครั้งที่มีการเลือกตั้งปี 66 โครงการที่ออกมาไม่ตรงปก และก็ไม่ได้เป็นพายุหมุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
ขณะที่คนหนุ่มสาวชะเง้อคอมอง ทวงสัญญาเมื่อไหร่จะได้รับเงินหมื่น ที่สำคัญการแจกเงินหมื่นก็ต้องไปกู้เขามาแจก แต่สร้างความสุขได้ชั่วคราวไม่ได้ส่งให้เกิดเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น เป็นแค่คำโฆษณาชวนเชื่อสร้างคะแนนนิยม เอาอนาคตของประเทศมาเสี่ยง เพราะรัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ครั้งนี้
อีกทั้งยังมาเจอ ขุนพลหญิง “ไหม” น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ออกมาดักคอ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า สรุปว่ายังไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง แค่เปลี่ยนนายกฯคนเดียวนี่เหมือนอย่างกับตั้งรัฐบาลใหม่ เหมือนไม่เคยคิดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจกันมาก่อนหน้านี้เลย
ต้องเริ่มต้นใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน หรือว่า “เศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่สภาพัฒน์เพิ่งออกมาประกาศว่าโต 3% ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ อาจจะทำให้รัฐบาลรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ได้หรือไม่ ถึงได้ดูลังเล ไม่รีบร้อน”
แต่ถึงอย่างไร “นายกฯอิ๊งค์” ไม่สนเตรียมหอบคณะรัฐมนตรี(ครม.)ประชุมอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.เชียงใหม่ พร้อมลงพื้นที่ 2 จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.- 1 ธ.ค.นี้ ก่อนกลับมาปักหมุดแถลงนโยบายโครตประชานิยม
งานนี้ต้องจับตาดูว่า 2 พ่อลูก “ตระกูลชิน” จะนำพารัฐบาล ผุดนโยบายโคตรประชานิยมต่อจากโครงการแจกเงินหมื่นอีก
อีกทั้งหลายคนจับไต๋ได้ว่าการทำครั้งนี้ จะเป็นการชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะจะมีเลือกตั้งผู้ริหารท้องถิ่นในช่วงต้นปี 68 ทั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกและส.อบจ.) ซึ่งเป็นการเลือกตั้งในสนามท้องถิ่นที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคสนับสนุน ถือเป็นฐานเสียงไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่ในปี 70 จึงเห็นเค้าลางการแข็งขันกันอย่างดุเดือด
เห็นได้จากสนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ที่แข่งกันระหว่าง 2 พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ที่นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องลงพื้นที่ไปขอคะแนนเสียงด้วยตัวเอง ขณะที่พรรคประชาชนก็ขนอดีตแม่ทัพส้มทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน” ลงไปสู้วัดพลังเสือเฒ่า
ถึงแม้ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ยังถือว่าเป็นหอกข้างแคร่ ที่ยังมีสว.สายสีน้ำเงินเป็นกำลังหลักในการงัดข้อต่อกรกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ล่าสุดต้องพ่ายแพ้ในชั้นกรรมาธิการกรณีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ที่ต้องใช้ 2 ชั้น ด้วยมติเสียงข้างมาก 13 ต่อ 9 งดออกเสียง 3 คน ทำให้สว.ชนะไป
ทามกลางกระแส “ทักษิณ” เตรียมพาน้องสาวสุดเลิฟ “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านในช่วงเดือนสงกรานต์ โดยไปให้สัมภาษณ์กับสื่อญี่ปุ่น แต่ขึ้นอยู่กับโอกาสและเหตุการณ์
เจอ “เสี่ยคึก”เทพไท เสนพงศ์ ออกกระตุกสังคมให้จับตาไปพร้อมๆกันว่า ถ้าดูการให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ”แล้ว จะเห็นได้ว่า มีความมั่นใจมากที่ “ยิ่งลักษณ์” จะได้กลับประเทศไทย เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าจะกลับมาแบบไหน จะกลับมาแบบนักโทษเทวดา หรือจะกลับมาแบบนักโทษนางฟ้า โดยยึดแบบทักษิณโมเดล โดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว และพักอยู่โรงพยาบาลตำรวจจนถึงวันพักโทษหรือไม่
“ทักษิณ” ได้พยายามทำให้ดีลลับทางการเมืองประสบความสำเร็จ จากเงื่อนไขที่ตกลงไว้ 3 ข้อคือ 1.นายทักษิณได้กลับประเทศไทยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว 2.นางสาวยิ่งลักษณ์ได้กลับประเทศไทย ไม่ต้องติดคุกเช่นเดียวกัน 3.นางสาวแพทองธาร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งดีลลับทั้ง 3 ข้อ ตอนนี้ทำสำเร็จแล้ว 2 ข้อ ยังเหลืออีก 1 ข้อ คือ “ยิ่งลักษณ์” จะต้องได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกเช่นเดียวกัน นายทักษิณจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ และมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จตามดีลลับแน่นอน
เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่ต้องจับตาดูว่า หากทำอะไรไม่ระวัง จะกลายเป็นพายุหมุนทางการเมืองกระชาก “นายกฯอิ๊งค์”ลงจากบัลลังก์ได้ ถ้าการกลับมาของ “อดีตนายกฯปู”ไม่เข้าตามกระบวนการที่ถูกหลักนิติรัฐนิติธรรม เพราะอย่าลืมว่า “ยิ่งลักษณ์” ยังมีคดีติดต่อไม่พ้นบ่วงกรรม ทั้งหมายจับคดีจำนำข้าว ที่ศาลฎีกาสั่งจำคุก 5 ปี
มองบริบททางการเมืองตอนนี้เกมอยู่ในมือ “ทักษิณ” ถ้ายังเหิมเกริม สร้างความเหลื่อมล้ำ โนสนโนแคร์ใดๆ โอกาสที่ได้กลับบ้านครั้งนี้ จะเป็นการกลับบ้านมา เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินไทย หรือจะกลับมาสร้างปัญหาและเอาคืนใครต่อใคร จนประเทศชาติไม่เหลืออะไร แล้วคนตระกูลชินเองนั้นแหระจะได้อยู่ในประเทศไทยต่อหรือต้องหอบครอบครัวระเห็จไปอยู่นอกประเทศอย่างถาวร.