ทุกวันนี้ ตลาดหุ้นไทยเกิดอาการ 3 วันดี 4 วันไข้ ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเดาใจเดาทางกันไม่ถูกทีเดียว แถมยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาโดยตลอด โดยมองไม่เห็นหนทางหรืออนาคตที่แจ่มใสว่าตลาดหุ้นไทยจะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,500 จุด เหมือนเก่าก่อนได้อีก เพราะตลอดมาเกือบ 5 เดือนเต็ม ปรากฏว่า หุ้นไทยตกต่ำมากว่า 300 จุด นับตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.67 ที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,506 จุด ล่าสุดจนถึงวันที่ 14 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย ก็ยังยืนอยู่ได้เพียง 1,173 จุด แม้จะผงกหัวขึ้นมาได้บ้างจากวันที่ 11 มี.ค.68 ที่ม้วนตัวลงไปต่ำสุดที่ระดับ 1,160 จุด ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เกิดโควิด จนทำให้บรรดานักลงทุนต่างออกอาการระส่ำ ว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือไม่?
แม้รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ได้ตัดสินใจ “ไฟเขียว” ให้จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ “ไทยอีเอสจีเอ็กซ์ตร้า” ซึ่งเป็นกองทุนรวมสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนแอลทีเอฟ หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และเงินลงทุนใหม่ สำหรับการลงทุนในช่วง 2 เดือน (พ.ค.-มิ.ย. 68) โดยจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาทสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปี 2568 ได้ 3 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาทจะให้ใช้สิทธิในปีภาษีต่อ ๆ ไปปีละ 50,000 บาทจนครบจำนวน เพื่อช่วย “หยุดเลือด” ดัชนีหุ้นไทยให้หวนคืนกลับมาดั่งเก่าก่อน
หยุดตัวปัญหาหุ้นร่วง
กองทุนไทยอีเอสจี เอ็กซ์ตร้า นี้จะรองรับเงินลงทุนของผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟที่ปีนี้ครบกำหนดอายุการลงทุน หลังจากในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนแห่กันไถ่ถอนออกมาถึง 31,400 ล้านบาท หรือลดลงไป 14.5% จนเหลือวงเงินคงค้างอยู่ประมาณ 188,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี แม้ว่ากองทุนแอลทีเอฟนี้ จะเป็นเพียงสัดส่วนเล็ก ๆ เพียง 16% ของกองทุนรวมหุ้นไทยเท่านั้น แต่หากเทียบกับปี 2562 ที่กองทุนแอลทีเอฟเคยมีมูลค่าทรัพย์สินทุกกองทุนอยู่ที่ 416,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของกองทุนรวมหุ้นไทย แต่จากสภาพเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวก็กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉุดหุ้นไทยปีนี้ร่วงหล่นลงเหว
ย้อนตำนานแอลทีเอฟ
หากย้อนกลับไปดูรายละเอียดกองทุนแอลทีเอฟในอดีตที่ผ่านมาซึ่งเคยเป็นที่นิยมของคนที่ต้องการลดหย่อนภาษี แต่ยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2562 กองทุนนี้มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของตลาดทุนและเพื่อส่งเสริมให้คนไทยออมเงินระยะยาวผ่านการลงทุน โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาทพร้อมเงื่อนไขต้องถือครองไว้ 5-7 ปี แม้มาตรการนี้จะดึงดูดใจให้ประชาชนหันมาลงทุนได้ดีระดับหนึ่งแต่พอนำไปใช้จริง ประสิทธิผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
จากการศึกษารูปแบบกองทุนแอลทีเอฟที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าไม่ได้ทำให้คนออมเงินเพิ่มขึ้นจริง ๆ แต่ส่วนใหญ่โยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา เพื่อรับสิทธิประโยชน์ภาษีแถมคนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ มักเป็นกลุ่มรายได้สูงที่มีเงินเหลือลงทุนอยู่แล้วไม่ใช่กลุ่มรายได้ปานกลางหรือรายได้น้อยที่รัฐอยากช่วยเหลือ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อแอลทีเอฟครบกำหนดอายุการลงทุนนักลงทุนมักเทขายพร้อมกัน สร้างแรงกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยร่วงวูบ จนสุดท้ายรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกกองทุนแอลทีเอฟไปในปี 2562 แล้วหันไปเปิดตัวกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวหรือ “เอสเอสเอฟ” ซึ่งมีรูปแบบที่ยืดหยุ่นกว่า
ออก พ.ร.ก.ติดดาบ ก.ล.ต.
แม้การออกกองทุนไทยอีเอสจีเอ็กซ์ จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยโงหัวขึ้นมาได้บ้างในวันรุ่งขึ้น แต่ผ่านพ้นไปเพียงวันเดียว ก็กลับเข้าอีหรอบเดิม ตลาดหุ้นไทยยังคงแดงเถือก ด้วยเหตุหลักที่มาจากการกลับลำของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ที่ต้องยอมรับว่าเป็นน้ำหนักแรงที่ทำให้ความเชื่อมั่น ความไม่มั่นใจเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า เหตุปัจจัยในประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่มีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งนอกจากปัญหาการเมือง ก็ยังมีเรื่องของความไม่โปร่งใสหรือการไม่มีธรรมาภิบาลของบรรดาเจ้าของบริษัทจดทะเบียน ที่มีสารพัดกลโกงจนทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนแบบยับเยิน
ด้วยความไม่รับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น จากปัญหาทางด้านการเงิน การขาดสภาพคล่อง การใช้จ่ายเงินเกินตัวโดยไปลงทุนในธุรกิจจำนวนมาก หรือแม้แต่การนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็ตาม ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อผสมปนเปไปกับความไม่รับผิดชอบของผู้บริหารเข้าด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องหวังสิ่งอื่นใด บรรดานักลงทุน โดยเฉพาะที่…ไล่ไม่ทัน ก็ต้องหมดเนื้อหมดตัวกันถ้วนหน้า จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม? ทุกวันนี้หุ้นไทยจึงยังกู่ไม่กลับ!!
ต้องทำกฎหมายให้ชัด
ด้วยเหตุนี้ขุนคลังอย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและ รมว.คลัง จึงเติมน้ำเพื่อหวังดับไฟในตลาดหุ้นให้โอนอ่อนลง โดยคาดหวังให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา ด้วยการระบุว่า กระทรวงการคลัง กำลังเตรียมออกกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการสอบสวน สืบสวน อายัดทรัพย์สิน รวมไปถึงยังสามารถสั่งฟ้องบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่กระทำทุจริตต่อพนักงานอัยการได้เพิ่มเติม จากขอบเขตอำนาจในปัจจุบัน
ทั้งหลายทั้งปวง…ก็เพื่อลดระยะเวลาในการดำเนินคดีลง รวมไปถึงยังจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาได้ โดยกระทรวงการคลัง คาดว่าภายในอีก 2 สัปดาห์จะเสนอให้ครม.พิจารณาเห็นชอบได้ เพราะห็นว่าเรื่องของการลงทุนในหุ้นต้องทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่าหากเกิดกรณีที่ไม่ถูกต้องก็ต้องมีการจัดการและลงโทษตามกฎหมาย จึงต้องทำเรื่องกฎหมายให้มีความชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
สาเหตุเชื่อมั่นหดหาย
ทั้งนี้บรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ทำผิดจนกลายเป็น “เนื้อร้าย” กัดกินตลาดหุ้นไทย ตามที่เป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ก็มีทั้ง หุ้นมอร์ จากกรณี “ปล้นโบรกเกอร์” พบปริมาณการซื้อขายหุ้นมอร์ที่ผิดปกติ ตามด้วย หุ้นสตาร์ค เป็นการทุจริตครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นที่ขอเลื่อนส่งงบการเงินถึง 3 ครั้งจนตรวจพบว่ามีการทุจริตตกแต่งบัญชี รวมไปถึงรายงานข้อมูลเท็จต่อตลาดฯ กระทั่งหุ้นออลล์ อินสไปร์ เกิดปัญหาสภาพคล่องจนผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ เช่นเดียวกับหุ้นเจเคเอ็น ที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้หุ้นอิตาเลียนไทยเกิดปัญหาสภาพคล่องกระทบหุ้นกู้จนต้องขอผ่อนผันชำระหนี้, หุ้นสบาย ถูกเทขายหุ้นจนเกือบหมดพอร์ตและบริษัทที่มองเข้าไปแล้วแข็งแกร่งสุด ๆ อย่างหุ้นอีเอหรือพลังงานบริสุทธิ์ ที่ผู้บริหารนำหุ้นไปจำนำเช่นเดียวกับอาร์เอสที่ราคาหุ้นดิ่งติดฟลอร์หลังมีการกู้เงินทั้งในและนอกตลาด รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลธนบุรีที่กระทบทางอ้อมจาก “หมอบุญ วนาสิน” และพวกรวม 9 คนหลอกลวงนักลงทุนโครงการทิพย์ เป็นต้น
จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายซ้ำ ๆ นักลงทุนก็ขาดความเชื่อมั่นจนวันนี้ภาครัฐต้องออกแอ็กชันให้มากขึ้นเพื่อเรียก “ศรัทธา” หุ้นไทยกลับคืนมา
ตลท.ไม่นิ่งนอนใจ
ขณะเดียวกันในด้านของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย (ตลท.) ก็เร่งสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยโดยอยู่ระหว่าง เร่งให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์เร่งเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน ป้องกันการหลอกลงทุนพร้อมเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดทุนโดยต่อยอดการส่งเสริมเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพดึงดูดการเข้ามาจดทะเบียนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พัฒนาด้านคาร์บอนเครดิตและดึงดูดเงินทุนใหม่ ๆ จากต่างประเทศพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและโปรดักส์สำหรับรายย่อย
จากที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับหน่วยงานยุติธรรมเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบบริษัทจดทะเบียน เพิ่มเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเพิ่มความเท่าเทียมในการซื้อขาย พร้อมการสนับสนุนธุรกิจครอบครัวของบริษัทจดทะเบียนส่งเสริมธุรกิจใหม่เข้าตลาด ยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืน ผลักดันการลงทุนระยะยาวรวมทั้งพาบริษัทจดทะเบียนไทยไปโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ
จากมาตรการที่ทยอยออกมาเพื่อดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้วนรถกลับมาจอดที่ “ตลาดหุ้นไทย” รอบนี้จะมาถูกทางและประสบความสำเร็จได้หรือไม่ และหยุดการทำผิดหลักธรรมาภิบาลได้มากน้อยเพียงใด คงต้องรอดูผลงานกันต่อไป!