วันที่ 17-24 เม.ย.นี้ ได้ฤกษ์เป็นทางการที่ทีมเจรจาในนามรัฐบาลไทย จะเดินทางไปเยือนสหรัฐ เพื่อหารือกับรัฐบาลทรัมป์ ในการแก้ปัญหาไทยถูกสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ 36% ซึ่งสร้างความสั่นคลอนไปทั่วทุกวงการ ทั้งตลาดเงิน ตลาดหุ้น ภาคการผลิต เกษตรกร ตลอดจนภาคการค้า แม้ต่อมารัฐบาลสหรัฐ ได้ชะลอการขึ้นภาษีโดยเก็บเหลือ 10% ไปก่อน 90 วัน เพื่อเปิดทางให้นานาประเทศเจรจาต่อรองกันก็ตาม

ไทม์ไลน์การเดินทาง

สำหรับไทม์ไลน์การเดินทางครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกเริ่มออกเดินทางวันที่ 17 เม.ย.นี้ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมคณะผู้เจรจา จะเดินทางล่วงหน้าไปนครซีแอตเทิล สหรัฐ เพื่อพบกับนักธุรกิจในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและการลงทุนด้านอื่น ๆ จากนั้นวันที่ 20 เม.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ จะเดินทางไปร่วมกับคณะของรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร ในนาม “ทีมไทยแลนด์” เดินทางไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเตรียมเข้าพบกับผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐ ช่วงวันที่ 21 เม.ย.

กรอบการเจรจารัฐบาลของคณะทั้ง 2 พิชัยครั้งนี้ เบื้องต้นจะมีการคุยกับตัวแทนรัฐบาลสหรัฐ ทั้งกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นจะหารือตัวแทน สมาชิกวุฒิสภา ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) รวมถึงภาคการค้า การผลิต การลงทุนของสหรัฐ ในธุรกิจพลังงาน อาหาร สินค้าเกษตร เป็นต้น

ชู 5 แผนตั้งโต๊ะเจรจา

สำหรับแนวทางและข้อมูลการเจรจา ทางรัฐบาลไทยยืนยันว่ามีความพร้อมเต็มที่ โดยรวบรวมมาตั้งแต่เดือนม.ค.จนถึงปัจจุบัน ผ่านการประชุมคณะกรรมการนโยบายการค้าสหรัฐ กับทุกส่วนราชการ ภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ผู้แทนบริษัทภาคการเกษตร อุตสาหกรรมและสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปสหรัฐ โดยแนวทางการเจรจาจะยึดหลักการ ไทยพร้อมเป็นพันธมิตร และหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐ ภายใต้ยุทธศาสตร์ “สร้างความสมดุลทางการค้าและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยได้วางหลักการเจรจา 5 ด้าน ได้แก่ 1.การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐ ในอุตสาหกรรมเกษตร-อาหาร และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการแปรรูปอาหารสัตว์ ไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกรดพรีเมียม เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกมากขึ้น หากนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพสูงเข้ามา

2.การเปิดตลาด ลดภาษี และลดอุปสรรคทางการค้ากับสหรัฐ ซึ่งไทยพร้อมลดภาษีนำเข้า และเพิ่มโควตาสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ซึ่งไทยจำเป็นต้องนำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ 3.เพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐ ในสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ซึ่งไทยผลิตได้แต่ไม่เพียงพอ เช่น วัตถุดิบด้านปิโตรเคมี เครื่องบินพาณิชย์ รวมถึงสินค้าอื่นที่ไทยไม่ได้ผลิต อาทิ ชีส ถั่ววอลนัท ผลไม้สดอย่างเชอรี่ แอปเปิ้ล เพื่อลดการเกินดุลด้านการค้ากับสหรัฐ 4.ตรวจสอบเพิ่มความเข้มงวดสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ป้องกันการสวมสิทธิไทยส่งออกไปประเทศที่สาม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กำหนด 49 สินค้าเสี่ยงที่ตรวจสอบแหล่งกำเนิดอย่างเข้มข้น และ 5.การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐ โดยเฉพาะให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกา

ไทยส่งออกสหรัฐสูงสุด

จากท่าทีทั้ง 5 ข้อของรัฐบาลไทย แสดงว่า “ไทยยอมงอ แต่ไม่ยอมหักกับสหรัฐ” เพราะที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยพึ่งพาสหรัฐมากจริง ๆ เนื่องจากอเมริกาเป็นตลาดที่มีการบริโภคใหญ่สุดของโลก มีมูลค่าเทียบเท่ากับการบริโภครวมกันของจีน เยอรมนี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส แคนาดา และอิตาลี สอดคล้องกับสถิติการส่งออกไทย ซึ่งล่าสุดปี 67 ไทยมีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐ สูงเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับตลาดอื่น โดยมีมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.86 ล้านล้านบาท มากกว่าจีนที่ไทยส่งออกไปเพียง 35,243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือต่างกันถึง 6 แสนกว่าล้านบาททีเดียว ที่สำคัญไทยยังมีการเกินดุลการค้าสหรัฐสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท สวนทางกับจีนที่ไทยขาดดุลถึง 1.6 ล้านล้านบาท

รู้เราแล้วรู้เขาหรือไม่

นอกจากนี้ ด้วยสเกลเศรษฐกิจของไทยที่มีขนาดเล็ก การเลือกวิธีดึงดันด้วยการขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ เหมือนกับที่ประเทศใหญ่ ๆ ทำกัน คงไม่ได้ทำให้ไทยได้ประโยชน์ขึ้นมา และอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นอีก ดังนั้นในวงเจรจาครั้งนี้ ไทยจะแสดงความตั้งใจที่จะหารือแบบมิตรสหายเก่า และจะไม่ใช่พูดคุยแค่เรื่องของการค้า เพราะเรื่องจะให้ไทยตอบแทนการค้าสหรัฐ เพื่อลดภาษี หรือนำเข้าจนการขาดดุลเหลือศูนย์คงเป็นไปไม่ได้

เพราะความเป็นจริงแล้วไทยกับสหรัฐ ยังมีเรื่องอื่นต้องพึ่งพากันอยู่ ทั้งความมั่นคงทางทหาร ความมั่นคงทางพลังงาน หรือแม้แต่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ที่กำลังช่วงชิงกันอย่างหนักระหว่างจีนกับสหรัฐในภูมิภาคอาเซียน ที่ระยะหลังจีนเข้ามาแผ่อิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด สี จิ้น ผิง เพิ่งมาเยือน 3 ชาติอาเซียน เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย ดังนั้น แนวการเจรจารัฐบาลไทยได้ส่งสัญญาณชัดว่า พร้อมเจรจารัฐบาลสหรัฐในทุกมิติ และมั่นใจว่าจะสามารถหาทางออกที่ดีร่วมกันได้

สหรัฐเปลี่ยนท่าที

สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลไทยมั่นใจมาก เพราะหากจับอาการสหรัฐเอง ก็ยอมรับว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีท่าที “เปลี่ยนไป” จากเดิม เมื่อเทียบกับ 1-2 เดือนก่อนหน้า ซึ่งสหรัฐมีท่าทีที่แข็งกร้าวในการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นแกนหลักประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารุนแรงกับ 60 ประเทศทั่วโลก แต่ต่อมาได้เปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นแกนหลักแทน เนื่องจากผลลัพธ์ที่ออกมาหลังการขึ้นภาษีแรงสุดในรอบ 100 ปี ได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงกับเศรษฐกิจสหรัฐโดยทันที ไม่ว่าจะเป็นการผันผวนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ การลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐ ที่มูลค่าหายไปกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 85 ล้านล้านบาท ผลตอบแทนตลาดพันธบัตรสหรัฐ หรือบอนด์ ยีลด์ 10 ปี พุ่ง 4.5% สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อภาคการเงินสหรัฐ

นอกจากนี้ ยังกระทบต่อภาคการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐ ที่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า เซมิคอนดักเตอร์จากหลายประเทศ ซึ่งหากสหรัฐตั้งกำแพงภาษีสูง จะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเหล่านี้แพงขึ้นตาม และขายไม่ออกในที่สุด เช่น ไอโฟนจากเครื่องละ 4-5 หมื่นบาท เมื่อเจอกำแพงภาษีทรัมป์อาจขึ้นไปเครื่องละ 1 แสนบาท

ซ้ำรอยประวัติศาสตร์

ที่ร้ายไปกว่านั้น หากทรัมป์จะดึงดันการขึ้นภาษีต่อไป ก็คาดกันว่าคนเจ็บหนักที่สุดจะเป็นสหรัฐเอง อย่างบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเกือบ 100 ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ มีการออกกฎหมาย สมูท-ฮอว์ลีย์ Smoot-Hawley ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรรุนแรงจากยุโรป ก็ทำให้สหรัฐต้องเผชิญเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือยุคเกรท ดีเปรสชัน และปริมาณการค้าโลกลดลงถึง 2 ใน 3 ต้องใช้เวลาฟื้นฟูถึง 50 ปีถึงจะกลับมาปกติ ไม่เพียงเท่านั้นการที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษี และหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ก็อาจทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศจะลดลง นำไปสู่การที่เงินดอลลาร์สหรัฐสูญเสียสถานะสกุลเงินหลักของโลกไปด้วย

บวกลบคูณหารแล้ว การตั้งกำแพงภาษีสูงไปทั่วโลกของสหรัฐ ไม่เป็นผลดีกับสหรัฐ หรือแม้แต่ใครเลย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของทรัมป์ น่าจะอยู่ที่การช่วงชิงมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ และการเมืองกับคู่ปรับเก่าอย่างจีนมากกว่า เหมือนสมัยทรัมป์ยุคแรก ก็เคยขึ้นภาษีกับจีนมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ ทรัมป์เล่นใหญ่ขยายวงมากขึ้น โดยนำประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทยเข้าไปเป็นตัวประกันเพิ่มด้วย

สงครามที่ไม่จบสิ้น

ดังนั้น ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหรัฐ เชื่อว่าฉากต่อไป ศึกสงครามการค้า จะกลับมาเป็นนโยบายแบบเผชิญหน้า ระหว่างสหรัฐ กับจีนโดยตรง ขณะที่ชาติอื่นก็อาจได้รับการผ่อนปรน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านอื่นหรือการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มแทน ดังนั้นความเป็นไปได้ตามที่รัฐบาลไทยประเมินไว้ว่าการเจรจาจะสำเร็จ และหลังการหารือจะมีการลงนามจดหมายแสดงเจตจำนง ความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ ก็เป็นไปได้ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาจบลงแล้ว แต่เชื่อผลกระทบจากสงครามการค้าจะยังไม่จบซะทีเดียว เพราะสิ่งที่ไทยต้อง
เตรียมรับมือกันต่อเลย ก็คือผลกระทบทางอ้อมจากการทะลักของสินค้าจีนเข้ามาในไทย ทั้งในรูปแบบการนำสินค้าราคาถูกเข้ามาขายแข่งกับคนไทย หรือการนำสินค้าเข้ามาใช้ไทยสวมสิทธิเพื่อส่งออกไปประเทศอื่น ๆ

ดูจะเป็นปัญหาที่รุนแรงไม่แพ้กัน เพราะเรื่องสินค้าจีน เป็นปัญหาเรื้อรังและซึมลึกลงเศรษฐกิจฐานรากไทยมานาน และยิ่งเมื่อสงครามการค้าสหรัฐกับจีนปะทุแรงขึ้น ยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟโหมให้ปัญหาการทะลักของสินค้าจีนเข้าไทยหนักขึ้นอีก ผู้ผลิตสินค้าไทย คนทำมาค้าจะยิ่งอยู่ยาก กดให้เศรษฐกิจแย่ไม่แพ้กับการโดนกำแพงภาษีจากสหรัฐเช่นกัน เป็นสงครามการค้าที่ไม่มีวันจบ และรัฐบาลจะหยุดนิ่งไม่ได้!!.