ทั้งนี้ ที่ว่าสถานการณ์ยังคงย่ำแย่ ก็สะท้อนได้จากการที่ปัญหานี้ยังเกิดขึ้นไม่หยุด โดย บางกรณีก็เกิดขึ้นในบ้านเด็กเอง!! ซึ่งถึงแม้จะตีเกราะเคาะไม้กันอยู่เรื่อย ๆ เกี่ยวกับการป้องกันเหตุ ทว่า “ภัยล่วงละเมิดเด็ก”ก็ยังคง“แรงไม่มีแผ่ว!!”…

ซ้ำยัง “มีแนวโน้มเกิดปัญหาเยอะขึ้น”

จนเกิด “ปุจฉา” ว่าป้องกันไม่ได้??”

กับ “ปัญหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก” นี้… ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กหญิง แต่ก็มิใช่ว่าเด็กชายจะไม่เสี่ยงอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีเหตุวัยรุ่นชายวัย 18 ปี ลวงเด็กชายวัย 15 ปีว่าจะช่วยสอนการบ้าน ก่อนจะมีเซ็กซ์กับเด็ก พร้อมแอบถ่ายนำไปโพสต์ในโลกออนไลน์ ขณะที่อีกกรณีเกิดก่อนหน้าเหตุแรกไม่กี่วัน แม้ไม่ได้มีเซ็กซ์แต่ก็เข้าข่ายละเมิดทางเพศเด็ก เป็นกรณีสาวสองวัย 22 ปี หลอกเด็กชายวัย 15 ปีถ่ายคลิปโป๊ทำคอนเทนต์เก็บเงินจากสมาชิก …นี่เป็น 2 เหตุที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย. นี้

ทั้งนี้ สถานการณ์ “ปัญหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก” ยุคนี้มีเหตุเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองจะหวังพึ่งระบบช่วยเหลือป้องกันจากทางรัฐหรือสถานศึกษาอย่างเดียว…อาจจะไม่ทันการ หรือถึงจะมีระบบก็คงไว้ใจไม่ได้ 100% ดังนั้น ทางที่ดีคือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ด้วย ซึ่งนอกจาก ต้องเพิ่มความใส่ใจบุตรหลาน แล้ว ยังควร “รู้จักสัญญาณเตือน”ที่ใช้เป็น “ลางบอกเหตุ” หรืออาจ“สกัดเหตุก่อนเกิด” ได้ ซึ่งข้อมูลที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อนี้ เป็นคำแนะนำไว้โดย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเป็น “คู่มือการสังเกต” กรณีที่ “บุตรหลานอาจเสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศ”

หลักในการ “สังเกตภัยเด็ก” ภัยนี้ ข้อมูลโดยกรมอนามัยมีการระบุไว้ดังนี้คือ… ให้มองหา“สัญญาณการถูกล่วงละเมิด” ทั้งจากสัญญาณที่มองเห็นได้ เช่น… รอยฟกช้ำบนร่างกาย ของส่วนตัวถูกทำลาย และจากสัญญาณที่มองไม่เห็น เช่น… แสดงความหวาดกลัวบ่อยครั้ง ตกใจง่าย วิตกกังวลมากผิดสังเกต หรือมีพฤติกรรมไม่ไว้วางใจบุคคลที่เข้าใกล้ และอีกสิ่งที่ก็อาจจะพอใช้เป็นข้อสังเกตได้คือ…เด็ก มีการคบเพื่อนใหม่ ๆ ไม่คบเพื่อนกลุ่มเก่าอีกต่อไป

สัญญาณเตือน” ที่มักจะพบจาก “เด็กกลุ่มเสี่ยง” นั้น สังเกตได้จาก “พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป” ซึ่งถ้าพ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ในครอบครัว-ในโรงเรียน หมั่นสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิด แล้วพบว่า… เด็กมีอาการ นอนไม่หลับติดต่อกันต่อเนื่อง หรือบางคนอาจแสดงออกมาผ่านทางพฤติกรรม ก้าวร้าวผิดปกติ รวมถึงอาจจะเกิด โรคกลัวไปโรงเรียน หรือ โรคกลัวการกลับบ้าน จากการที่เด็กรู้สึกทุกข์ทรมานในสถานที่เกิดเหตุ …หากเจอสัญญาณเช่นนี้ ต้องรีบตรวจสอบให้ชัดเจน

และนอกจากที่ระบุข้างต้นก็ยังมี “สัญญาณเตือน” อื่น ๆ ที่ก็ใช้เป็นหลักสังเกตได้ เช่น… มีพฤติกรรมหมกหมุ่นเรื่องเซ็กซ์ผิดปกติ โดยถ้าเด็กถูกทารุณทางเพศต่อเนื่องยาวนาน ในบางรายเด็กอาจจะ แสดงออกผ่านนิสัยที่ชอบแสดงความรู้เรื่องเพศที่โตกว่าวัย หรือ พูดถึงเรื่องเพศมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น อาทิ ใช้ภาษาเรื่องเพศที่ชัดเจนมากขึ้นโดยไม่รู้สึกเขินอาย, ร่างกายและจิตใจมีความเปลี่ยนแปลงผิดปกติอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำหนักตัวลดลงเป็นโรคเบื่ออาหาร เก็บตัวอยู่คนเดียวบ่อยขึ้นและนานขึ้น หรือไม่กล้าพบปะคนอื่น ซึ่งถ้าพ่อแม่ผู้ปกครอง คนใกล้ชิด ครู พบเห็นสัญญาณ พบว่า เด็กผิดปกติไปจากเดิม ก็ต้อง พยายามสอบถามเด็ก หรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ควรจะ ต้องรีบใส่ใจค้นหาสาเหตุ

ทั้งนี้ นอกจากการสังเกต “สัญญาณเตือน” ว่าเด็กอาจเข้าข่ายถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว กับ “การสังเกตสกัดเหตุก่อนจะเกิด” ก็เป็น “ข้อมูลที่ยิ่งควรต้องรู้” โดยทาง โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ มีการให้ข้อมูลไว้ว่า… ก่อนที่ “ผู้จะก่อเหตุ” จะลงมือนั้น ส่วนใหญ่มัก “เตรียมเด็กไว้สำหรับการล่วงละเมิดทางเพศ”ซึ่งลักษณะพฤติกรรมนี้เรียกว่า Child Grooming” โดยการเตรียมเด็กไว้ล่วงละเมิดนั้น ผู้จะก่อเหตุมักแฝงตัวอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด อาทิ มีความพยายามจะเป็นเพื่อนกับเด็ก หรือพยายามสร้างสัมพันธภาพ แบบมากเกินผิดปกติ เพื่อจะให้เด็กรู้สึกไว้วางใจ

ข้อมูลโดยโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ ยังขยายให้เห็นขั้นตอน “เตรียมเด็กไว้ล่วงละเมิด” ว่า… มักจะเริ่มจาก ใช้อุบายล่อลวงหลอกล่อเพื่อให้เด็กรู้สึกปลอดภัย โดยเด็กไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะเห็นสัญญาณชัดเจนว่าเด็กกำลังถูกเตรียมไว้ล่วงละเมิด อย่างไรก็ตาม ก็มี “วิธีสังเกตเบื้องต้น”อาทิ… ให้ขนม หรือของขวัญ บ่อยผิดสังเกต โดยมีทั้งให้เด็ก หรือบางทีก็ให้ครอบครัวเด็กด้วย เพราะผู้จะก่อเหตุต้องการ ทำให้ครอบครัวเด็กรู้สึกว่าปลอดภัย เป็นหนี้บุญคุณ เพื่อให้รู้สึกเกรงใจ จนตัดสินใจยอมปล่อยให้เด็กไปด้วย

และข้อมูลโดยแหล่งดังกล่าวนี้ยังมีส่วนที่ระบุด้วยว่า… สิ่งผิดปกติที่อาจพอสันนิษฐานได้ว่าเด็กกำลังตกเป็นเป้าหมาย Child Grooming”อาจสังเกตได้จาก พฤติกรรมผิดปกติบางอย่าง เช่น เด็กมีเงินใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ หรือจู่ ๆ ก็มีเครื่องใช้ราคาแพง ซึ่งถ้าพบสัญญาณแบบนี้ก็ควร ต้องเพิ่มการใส่ใจเป็นพิเศษเพราะเด็กอาจจะกำลังเป็น “เป้าหมาย” โดยที่ “ผู้จะก่อเหตุกำลังเตรียมเหยื่อ” ไว้ก่อเหตุ …เหล่านี้เป็น “หลักสังเกต” ที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ขอร่วมสะท้อนย้ำเตือนไว้

สัญญาณเตือน” เหล่านี้ “ต้องใส่ใจ”

ใส่ใจ “ไม่ว่าจะเด็กหญิงเด็กชาย”

ยุคนี้ “ล้วนเสี่ยงเป็นเหยื่อได้!!”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์