เรื่องนี้มีกลุ่มข้ามเพศเรียกร้องหนัก จะให้ออกกฎหมายให้ได้ในรัฐบาลนี้ แต่ปัญหาคือ “เราทำความเข้าใจกับสังคมได้เพียงพอหรือยัง ?” เพราะมีพวกเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด เขาบอกว่า รู้สึกไม่สบายใจกลัวคนข้ามเพศหลอกแต่งงาน เขาบอกว่า สาเหตุที่กลัวไม่ใช่แค่ว่า คนข้ามเพศหลอกแล้วมีลูกไม่ได้ เพราะถ้าคู่สมรสเป็นหมันก็มีลูกไม่ได้อยู่แล้ว แต่มันเป็นเรื่องเสียความรู้สึก เสียเชิง หรือเรื่องของความรู้สึก ถ้าคนข้ามเพศใจกว้างพอไม่ใช่เอะอะจะเอาแต่ตัวเองถูก ก็คงจะเข้าใจคำว่า“เสียความรู้สึก” และอย่าคิดเหมาไปเองว่า คนข้ามเพศจะไม่หลอกคนเพศสภาพตรงเพศกำเนิด
เรื่องที่ทำให้กฎหมายรับรองเพศอาจได้รับช้าไปอีก ก็คือการเคลื่อนไหวของ“นักรณรงค์”บางคน ที่มุ่งทำตัวแบบเฟียสๆ แบบไม่แคร์ใคร แต่งตัวแปลกๆ แสดงสัญลักษณ์แปลกๆ สื่อสารความคิดแปลกๆ มันทำให้คนในสังคมรู้สึกว่า “ไม่อยากสนับสนุน” เพราะเห็นวิธีแสดงออกหิวแสงเหลือเกิน และสมรสเท่าเทียมเพิ่งผ่าน ยังไม่ค่อยเรียบร้อยด้วยซ้ำ ( ยังมีบางส่วนเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่บิดามารดา ซึ่งต้องแก้เป็นผู้ปกครอง 1 ผู้ปกครอง 2 ) นี่เหมือนได้คืบจะเอาศอก เอากฎหมายอื่นต่อทันที บอกว่า “มีความจำเป็นต้องใช้” ทั้งที่กฎหมายที่มีวาระสำคัญมันเยอะกว่า ที่สำคัญคือ การเคลื่อนไหวหิวแสงแบบนี้ระวังเกิดผลสะท้อนกลับ ทำให้สังคมเริ่มรำคาญ ซึ่งก็ขอว่า อย่าให้ไปถึงรังเกียจ
พวกเรียกร้องควรไปดูกระบวนการสมรสเท่าเทียม สิบกว่าปีที่เคลื่อนไหวกันไปมาเขาทำอะไรบ้าง เขาใช้วิธีที่มีรสนิยม พยายามใช้วิธีทางกฎหมาย เช่น ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งทำให้สังคมค่อยๆ ซึมซับ เห็นใจ แต่การเคลื่อนไหวแบบหวังจะเอาแสง ระวังจะถูกมองเป็นตัวประหลาด ประเทศนี้เป็นมิตรกับกลุ่มหลากหลายทางเพศจริง แต่ไม่ใช่ค่าประชากรทั้งประเทศ คนเกลียดก็มีเข้าไม่แสดงตัว และน่ากลัวถ้าพยายามเรียกร้องอะไรที่ยังไม่อธิบายให้สังคมเข้าใจชัดถึงความจำเป็น ทำให้วันหนึ่งจะเกิดอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง ( hate crime ) อย่างที่บางทีพวกที่เคลื่อนไหวประหลาดๆ ไม่โดน คนอื่นดันเป็นเหยื่อแทนเพราะเขาเหมารวมเป็นอัตลักษณ์ที่เรื่องมาก
ในเดือนไพรด์ เฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ ลองมาดูความคิดว่า เหตุแห่งปัญหาเกี่ยวกับเพศคืออะไร ? ส่วนหนึ่งก็คือเรื่องเพศสภาพ ( gender ) คำๆ นี้หมายถึงการเป็นเพศใดเพศหนึ่งด้วยปัจจัยทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม หล่อหลอมความเป็นเพศ และสังคมจะตีกรอบความเป็นเพศนั้นไว้ด้วย gender ไม่ใช่เพศตามเพศกำเนิด แต่เป็นเพศที่เกิดจากวัฒนธรรม เช่น ที่นักสตรีนิยมชื่อก้องโลก ซีโมน เดอ โบวัวร์ มีวาทะทอง ว่า “ฉันไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิง แต่ถูกทำให้เป็นผู้หญิง” นั่นคือความหมายว่า “การเป็นผู้หญิง” ถูกสังคมกำหนด ว่าต้องมีบทบาท หน้าที่อะไร

ในครอบครัวเอเชีย บทบาทหน้าที่ของผู้หญิงถูกวางไว้ในการเป็น“ผู้ตาม”เสียเป็นส่วนมาก อย่างเช่นในสังคมญี่ปุ่น ซึ่งผู้หญิงแต่งงานแล้วมักจะต้องออกมาเป็นแม่บ้าน ในสังคมย่านอาเซียน บทบาทของผู้หญิงก็น้อยกว่าผู้ชาย ซึ่งบางเรื่องเพศสภาพมันถูกประกอบสร้างมาด้วยร่างกาย อย่างเช่น การที่ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้ ให้อาหารทารกได้ และมีความแข็งแรงทางร่างกายน้อยกว่าชาย ทำให้ต้องมีบทบาทในครัวเรือนมากกว่า บทบาททางเพศของผู้ชายเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยง
หนังที่อยากแนะนำให้ดู ที่แสดงบทบาททางเพศ เป็นหนังเวียดนาม ซึ่งหนังประเทศนี้ที่เข้าบ้านเรามักจะเป็นหนังผี พอๆ กับหนังอินโดนีเซียที่แทบจะส่งแต่หนังผีมาตีตลาดไทย คราวนี้มีหนังตลกมาสักเรื่องคือ 4 rascals เสียดายที่หนังยืนโรงได้ไม่นานนัก เรื่องนี้เป็นหนังทำรายได้อันดับหนึ่งในเวียดนาม คนไทยดูแล้วก็สนุกดี แต่รู้สึกว่า ตัวนางเอกเป็นอะไรที่น่ารำคาญได้อีก..ได้อีก..และได้อีก.. อารมณ์ประมาณเพลงปาน ธนพร “แค่อยากให้รู้ ผู้หญิงทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ ของคนที่รักกันเท่านั้นเอง” ซึ่งพฤติกรรมคุณเธอหลายเรื่องก็เหลือรับ น่าเอาน้ำสาดเรียกสติ
เรื่อง 4 rascals เป็นเรื่องของหญิงสาวชื่อ ควอนอาน ได้สามีชื่อ ควอคอาน …ชื่อเวียดนามก็คงคล้ายๆ ชื่อเกาหลีคือมันซ้ำกันได้เยอะ ถ้าเกาหลีมีตระกูลคิมเต็มเมือง เวียดนามก็นามสกุลเหงียน….เอาเป็นว่า ควอนอานนี่ เป็นสมาชิกครอบครัวที่มีญาติพี่น้องเต็มไปหมด ทำงานขายอาหารทะเล ขณะที่ตัวควอคอาน อารมณ์แบบคนทำงานในสังคมเมืองใหญ่ คือ ชอบความสันโดษ อยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยว.. ความแตกต่างของการใช้ชีวิตเห็นตั้งแต่ครั้งที่ควอนอานพาสามีไปเยี่ยมบ้านเกิด ที่บ้านจัดงานเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต ที่ควอคอานไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองเลย เนื่องจากโดนญาติเมาๆ ของภรรยาลากไปโน่นมานี่ แสดงอาหารอยากสนิทสนมด้วยแบบเล่นหัวเกินเหตุ
ดูๆ ตรงนี้แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ ตาม สังคมไทยโดยเฉพาะสังคมต่างจังหวัด เป็นสังคมที่เชื่อในระบบครอบครัวใหญ่ ที่ญาติพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้องกันมาก หลายเรื่องได้เข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตคนอื่นด้วยคำว่า“หวังดี” ซึ่งมันชวนให้ประสาท ลองนึกภาพเวลารวมญาติดู หลายๆ คนก็คงเจอ ประเภทถูกถามเรื่องเงินเดือน ถูกถามเรื่องมีแฟนหรือยัง ถ้าไม่มีจะแนะนำคนนั้นให้ ถ้าคนถูกถามเป็นผู้ชาย ก็จะมีประเภทอยากแนะนำผู้หญิงให้ พร้อมกับพูดขำๆ ทำนองว่า เป็นชายแท้ต้องมีเมีย, ทำเป็นหรือเปล่า ฯลฯ ซึ่งญาติๆ นี่ทำให้เราประสาทได้ง่ายๆ เพราะจะแรงใส่ เดี๋ยวญาติคนนั้นก็หาพวกในเครือญาติกันเองแล้วมารุม ยิ่งถ้าคนถูกถามอ่อนอาวุโสกว่า ยิ่งรุมหนัก จนบางครั้งการกลับบ้านเป็น“นรก”สำหรับหลายๆ คน

บรรดาญาติๆ รวมถึงแม่ของควอนอาน เห็นควอคอานดูไม่ค่อยเอ็นจอยกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก เมื่อสองหนุ่มสาวกลับบ้าน อยู่ๆ ก็มีญาติของควอนอานบุกมาหา มาขอพักด้วยแบบถือวิสาสะ แล้วทำตัวเป็นที่ปรึกษาให้ควอนอาน ( ซึ่งสภาพที่ปรึกษาแต่ละคนนี่คือบุคลิกที่พยายามให้ตลก แต่มันน่ารำคาญ ) โดยเฉพาะการต้องเชื่อแม่ ที่จะต้องเร่งการมีลูกให้ได้ ..นี่ก็คือปัญหาเรื่องเพศสภาพอย่างหนึ่ง ที่เอาไปตัดสินคู่ชายหญิงที่แต่งงานแล้ว ว่า “ต้องมีลูกสืบสกุล สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์” ซึ่งหลายครั้งกลายเป็นแรงกดดันจากครอบครัวต่อพวกคนชั้นกลาง ที่รู้สึกตัวเองไม่พร้อมในการรับผิดชอบ จะให้ปู่ย่าตายายช่วยเลี้ยงบางครั้งก็ไม่ไหว กลายเป็นคนแก่ตามใจเด็กจนเสียคน หรือคนแก่แค่มาดูแต่ไม่อยากดูแล
แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเหตุว่า คนที่ควอคอานต้องดีลงานด้วย เป็นสาวสวย ทั้งคู่นัดกันคุยงานในวันที่คนที่บ้านควอนอานกำลังกระตุ้นให้หญิงสาวต้องมีลูกคืนนี้ ปรากฏว่า การที่ควอคอานไม่มา ทำให้ควอนอานแสดงอาการ“ผู้หญิงเอาแต่ใจ”ระดับงี่เง่าขั้นสุด จนควอคอานด่าไปบ้าง ว่า บางครั้งเขาก็รำคาญที่ควอนอานเอาชีวิตมาเกาะแกะเขาเหลือเกิน แล้วทำไมควอนอานถึงเป็นแม่บ้านอยู่เฉยๆ ไม่มีความฝันอะไรที่ต้องทำบ้างหรืออย่างไร
ควอนอานก็ถูกมิติแห่งเพศสภาพครอบไว้ เรามักจะเห็นหนัง โฆษณา หรือสื่ออื่น สร้างภาพความเป็นครอบครัวที่ “คุณพ่อไปทำงาน คุณแม่อยู่บ้าน ฉันไปโรงเรียน” สำหรับคนจากย่านต่างจังหวัดอย่างควอนอานคิดแบบนั้นจริงๆ ว่า “นี่คือชีวิตที่เป็นอุดมคติ” จนเมื่อควอกอานพยายามถามเธอว่า “มีความฝันอะไรหรือไม่” ทำให้ควอนอานนิ่ง เพราะเธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ถ้าไม่ได้เป็นแม่บ้านให้ควอกอาน เธอจะทำอย่างไรต่อไป เพราะมาถึงวันนี้ก็คิดไม่ออกเสียแล้วว่า ชอบ หรืออยากทำงานอะไร อยากทำกิจการของตัวเองหรือไม่ ..ทำให้เธอนึกไปถึงการที่หึงหวงควอกอานอย่างมาก ก็เพราะสาเหตุว่า “นี่เป็นหลักยึดชิ้นเดียวของเธอ และเธอไม่มั่นใจว่า ถ้าวันหนึ่งเขาจากลาไปด้วยเหตุอะไร เธอจะทำอย่างไร”
ควอกอานเอง ก็ถูกเพศสภาพของ “ชายที่ดี หัวหน้าครอบครัวที่ดี” ครอบไว้ โดยต้องยอมละความไม่พอใจที่ญาติของควอนอานมาวุ่นวายในชีวิต แสดงออกได้แค่ด้วยการนิ่งเงียบ และหนังก็จงใจสร้างภาพของควอกอานให้เป็นผู้ชายในอุดมคติ ( ซึ่งอาจเป็นอุดมคติในสังคมเวียดนาม ) ที่ต้องเป็นฝ่ายยอม เป็นฝ่ายสุภาพ เคารพญาติๆ ของควอนอาน ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ มันอาจเป็นวิธีเดียวกับทางเกาหลีใต้ คือ การใช้ภาพยนตร์ที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ในการสร้างภาพอุดมคติขึ้นมาสื่อสารกับสังคมถึงความคาดหวัง ว่า “เพศชายที่ดีควรเป็นเช่นนี้” เหมือนพวกโอปป้าในหนัง ซีรีย์เกาหลีที่มาทรงอบอุ่นเสียหลายคน ในขณะที่ต่างก็ว่ากันว่า เกาหลีเป็นประเทศที่ยึดถือวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ลำดับต้นๆ ของโลก
หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลก แต่มันทำงานกับความคิดของเราในเรื่อง “เพศสภาพแบบที่พึงประสงค์” ในสังคมเวียดนาม ( ซึ่งประเทศอื่นในอาเซียนอาจมีอุดมคติที่ใกล้เคียงกันก็ได้ ) ชายต้องเป็นอย่างนี้ หญิงต้องเป็นอย่างนี้ และการปฏิบัติตัวกับครอบครัวใหญ่ หญิงจะเป็นฝ่ายที่ต้องยอมให้ครอบงำมากกว่า ไม่ทิ้งครอบครัว เพราะครอบครัวก็ยังมองหญิงเป็นสมบัติที่ต้องดูแล อย่างพังเพย “ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร” ชายไปไหนก็เหมือนข้าวเปลือก ได้น้ำก็เจริญงอกเงยเป็นต้นได้ แต่หญิงข้าวสาร คือไปที่ไหนก็เน่า และครอบครัวยังมีการกดดันทั้งในลักษณะพูดตรงๆ หรือแสดงออกอ้อมๆ ให้ต้องมีทายาท ชนิดว่า นั่นคือบทบาท หน้าที่ หรือลักษณะอันพึงประสงค์ของ “ครอบครัว”
ดูจบก็กลับมาคิดว่า “ทุกวันนี้ ชีวิตเราถูกกรอบเพศสภาพ ( ที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของเพศ ) กรอบทางสังคม หรือขนบอะไร“กด”ไว้จนไม่มีความสุขหรือไม่ ? เราต้องทำตามที่ถูกกำหนด เพราะความเป็นสมาชิกในสังคม บางครั้ง การที่จะมีความสุข ก็อาจต้องเปิดอกพูดคุยถึงสิ่งที่อยากเป็น อยากทำกันในระหว่างคู่รัก.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”