“สสส.ต้องการเห็นพลังของเยาวชนมาขับเคลื่อนปัญหาสุขภาวะซึ่งเป็นปัญหาของเขาเอง เพราะว่าบางครั้งผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก เราเชื่อว่าพลังของเด็กผ่านสถาบันยุวทัศน์ ที่ไปทำงานที่โรงเรียน หรือเด็กนอกระบบการศึกษาก็ตามทำให้เข้าใจเด็กมากขึ้นเห็นปัญหาของตัวเองแล้วมาขับเคลื่อนแก้ปัญหา รวมทั้งเรื่องการสื่อสารซึ่งจะทำให้เข้าถึงเด็กได้มากกว่า” นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้สัมภาษณ์ ในงาน มหกรรมคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยสุขภาพในงาน ก้าวสู่ปีที่ 15 สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย โตมากับเรา โตไปด้วยกัน โดยมี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพร้อมรับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย

นางสาวจิราพร กล่าวว่า ขณะนี้เด็กและเยาวชนไทยพบเจอปัญหาการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และอุบัติเหตุทางถนน ส่งผลทำให้เด็กและเยาวชนเจ็บป่วยทั้งด้านร่างกาย วันนี้ได้รับข้อเสนอจากสถาบันยุวทัศน์ ซึ่งตรงตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี “โดยเฉพาะนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า นำมาสู่การจับกุมผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.-15 พ.ค. 2568 ได้ถึง 2,619 คดี ยึดของกลาง 1,703,802 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 324 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังของรัฐบาลในการปราบปรามเรื่องนี้ และยังไม่หยุดแค่นี้จะดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องพร้อมขอความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังเข้มข้นในการสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทั้งครู ผู้ปกครอง สถาบันยุวทัศน์ รวมทั้งสสส. เน้นให้การประชาสัมพันธ์ในวงกว้างให้ความรู้ในโรงเรียน และเป็นเรื่องที่ดีที่สถาบันยุวทัศน์ไปใช้พื้นที่ของเอกชนจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ขณะเดียวหน่วยงานภาครัฐกำลังแก้ไขข้อกฏหมายต่างๆเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายต่อภัยคุกคามสุขภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.44 เท่า จากเดิม 78,742 คนในปี 2564 เพิ่มเป็น 900,459 ในปี 2567 แม้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ในช่วงปี 2550-2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มเด็กและเยาวชนกลับเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลการเฝ้าระวังพฤติกรรมทางสุขภาพเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนไทย ปี 2566 ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำรวจเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปีทั่วประเทศ 61,688 คน พบ 25% สูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่น่าห่วงคือการระบาดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน และกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ในปี 2567 พบการป่วย 5 โรคหลักนี้ เท่ากับ 75.3 รายต่อแสนประชากร ซึ่งสูงขึ้นกว่า 3.2 เท่าของอัตราป่วยใน 10 ปีย้อนหลัง และส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับเยาวชน อายุ 15-24 ปี

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยท. ได้ร่วมกับ สสส. ดำเนินงาน 1.ลดการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 2.ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยและลดอุบัติเหตุทางถนน 3.ส่งเสริมสุขภาวะทางเพศปลอดภัยและการเข้าถึงบริการถุงยางอนามัย 4.พัฒนาระบบบริการสุขภาพ (สนับสนุนการจัดตั้งกลไก ยุว อสม.และอาสาสร้างสุขภาพ) 5.พัฒนาสุขภาวะในกลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบ ซึ่งมีผลงานเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชน เช่น 1.การป้องกันและควบคุมยาสูบ ได้ขับเคลื่อนลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเชิงรุกกว่า 150 สถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมนักเรียนกว่า 100,000 คน ร่วมกับเครือข่ายเยาวชนทั่วประเทศกว่า 20 หน่วยงาน ลงนาม MOU ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และเมืองพัทยา ดำเนินมาตรการสถานศึกษาปลอดบุหรี่ไฟฟ้า สื่อสารผลกระทบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับ Influencer และจัดนิทรรศการในศูนย์การค้าต่าง ๆ มียอดรับชมทุกช่องทางกว่า 2 ล้านคน

นายพชรพรรษ์ กล่าวต่อว่า 2.ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและสสส. จัดตั้งระบบบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับเด็กและเยาวชน ได้แก่ อาสาสร้างสุขภาพ (Gen-H) มีแกนนำเยาวชนทั่วประเทศกว่า 26,000 คน ทำหน้าที่สื่อสารสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงจัดทำคู่มือจัดการเรียนรู้เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าสำหรับผู้เรียนการศึกษานอกระบบใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครสวรรค์ และนครพนม 3.ส่งเสริมการเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยผ่านจุดกระจายถุงยางอนามัย “จุดพกถุง” 4.สนับสนุนมาตรการลดอุบัติเหตุทางถนนใน 3 จังหวัดต้นแบบ ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และขอนแก่น เฉพาะในจังหวัดระยอง ปี 2565 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของนักศึกษาอาชีวศึกษาเป็นศูนย์

“ในปีนี้ ยท. มีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อนายกรัฐมนตรีผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 6 ข้อ 1. คงมาตรการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย 2.บังคับใช้กฎหมายต่อผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและเด็ดขาด 3.ลดราคาถุงยางอนามัยเพื่อเพิ่มการเข้าถึงถุงยางอนามัยของเด็กและเยาวชน 4.อนุญาตให้ผู้ผลิตถุงยางอนามัยสามารถโฆษณาประโยชน์ของถุงยางอนามัยต่อสาธารณะได้มากขึ้น 5.เพิ่มหลักสูตรความปลอดภัยทางถนนในหลักสูตรการศึกษา 6.เร่งรัดจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในคณะกรรมการศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ส่วนกลาง ทั้งนี้จะมีการติดตามข้อเสนอดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป” นายพชรพรรษ์ กล่าว