ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ จากการที่รัฐบาลมีนโยบายจะแจกเงินดิจิทัลให้เยาวชน ก็มีเสียงวิจารณ์จากสังคมผู้ใหญ่ ที่เป็นห่วงกลัวว่าเยาวชนไทยจะนำเงินดิจิทัลที่ได้รับแจกไป “ใช้กับอบายมุข?-ใช้กับเรื่องไร้สาระ?” จนเกิดคำถามจากกระแสที่ “ผู้ใหญ่คิดแทนเด็ก?” ขณะที่สังคมไทยก็อาจจะอยากฟัง “เสียงจากเยาวชนไทย”…

“เยาวชนไทยคิดเห็นเช่นไร?” กรณีนี้

ณ ที่นี้มีข้อมูลน่าสนใจมาสะท้อนต่อ…

ประเด็นสถานการณ์ทางการเมืองจะอย่างไรต่อไป?…ก็ว่ากันไป ส่วนกับประเด็น “เยาวชนมีเงินก้อนโตจะใช้จ่ายอย่างไร?” ที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูล นี่เป็นข้อมูลจากที่ทาง ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) ได้ทำการ “สำรวจ” ประเด็นดังกล่าวนี้ ผ่านการตั้งคำถามชวนคิดกับ กลุ่มเยาวชนไทยอายุ 16-20 ปี ซึ่งถือเป็นส่วนหลักของ “กลุ่ม Gen Z” ว่า… หากได้เงิน 1 ล้านบาท จะนำไปใช้จ่ายอย่างไร? โดยผลสำรวจนี้ก็ได้มีการสะท้อนผ่านบทความโดย วรดร เลิศรัตน์ นักวิจัยของศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว ที่เผยแพร่อยู่ใน https://kidforkids.org

ทั้งนี้ ในบทความดังกล่าวได้ระบุไว้หลักใหญ่ใจความมีว่า… หลังจากรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยจะแจกให้เยาวชนอายุ 16-20 ปี ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ โดยเฉพาะความกังวลใจที่ เป็นห่วงกันว่า…เยาวชนจะนำเงินดิจิทัลวอลเล็ตไปใช้กับเรื่องอบายมุข หรือใช้จ่ายแบบไร้สาระ ซึ่งล้วนแต่เป็นมุมมองของผู้ใหญ่ที่คิดเห็นกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แต่จากผลสำรวจของคิด for คิดส์ กลับพบ “มุมมองสวนทาง” โดยจากการสำรวจพบว่า… “กลุ่ม Gen Z” ที่ตอบแบบสอบถามดังกล่าว “มีมุมมองการนำเงินไปใช้จ่ายสวนทางจากที่ผู้ใหญ่คิด”

สำหรับคำตอบผ่านหัวข้อ “หากได้เงิน 1 ล้านบาทจะเอาไปทำอะไร?” นั้น เยาวชนผู้ตอบแบบสำรวจระบุชัดเจนถึงการนำเงินล้านไปใช้จ่าย โดย 5 อันดับแรก มีดังนี้… อันดับ 1 นำไปใช้หนี้ให้ครอบครัว ที่ถือเป็นเป้าหมายอันดับแรกที่เยาวชนกลุ่มนี้เลือกตอบมากที่สุด หรืออยู่ที่ 29.0%, อันดับ 2 ใช้เรียน-ใช้ฝึกฝนทักษะ-ซื้ออุปกรณ์การเรียน โดยมีคะแนนอยู่ที่ 16.8%, อันดับ 3 นำไปซื้ออาหารดี ๆ ให้ตนเองและครอบครัว อยู่ที่ 12.0%, อันดับ 4 นำไปลงทุนทางการเงิน อยู่ที่ 11.3% เช่น ฝากธนาคาร ลงทุนสินทรัพย์ และอันดับที่ 5 ลงทุนทำธุรกิจ-ซื้อเครื่องมือประกอบอาชีพ อยู่ที่ 11.1%

นี่เป็นผลสำรวจ Gen Z กับเงินล้าน

 และผลสำรวจดังกล่าวนี้ยังมีข้อมูลที่ระบุไว้อีกว่า… กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม มีเพียงแค่ 4.2% เท่านั้น ที่ระบุว่า…ถ้าหากมีเงินล้านจะนำเงินไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่ตนเองอยากได้เป็นอันดับแรก ซึ่งจากข้อมูลที่ผลสำรวจนี้มีการสะท้อนไว้ก็ฉายภาพว่า…เยาวชนคนรุ่นใหม่มีมุมมองการใช้จ่ายเมื่อมีเงินต่างจากสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนมักจะชอบคิด

 นอกจากนั้น ผลสำรวจนี้ยังได้มีการจำแนกคำตอบของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามนี้ โดยจำแนกออกตามระดับรายได้ครัวเรือน  ซึ่งก็พบประเด็นที่น่าสนใจว่า… เยาวชนอายุ 16-20 ปีในครัวเรือนรายได้ต่ำสุด 20% ระบุว่า…อยากนำเงินล้านที่มีไปใช้หนี้ให้ครอบครัวมากที่สุด และรองลงมาคือ…นำเงินล้านไปใช้เพื่อการเรียน หรือฝึกฝนทักษะตนเองให้เพิ่มขึ้น และนำไปซื้ออาหารดี ๆ ซึ่งจากคำตอบที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้สะท้อนผ่านผลสำรวจดังกล่าวนี้ อาจพอฉายภาพได้ว่า… เยาวชนส่วนใหญ่มิได้หวังผลาญเงินก้อนใหญ่ไปกับเรื่องอบายมุข หรือนำไปใช้จ่ายไร้สาระ แต่ตั้งใจนำเงินไปใช้จ่ายเรื่องพื้นฐานให้ตนเองและครอบครัว เพื่อให้สามารถเข้าถึงปัจจัยดำรงชีวิต รวมถึงการศึกษา-การเพิ่มทักษะอาชีพ

ทั้งนี้ ทาง วรดร เลิศรัตน์ ผู้เขียนบทความ และนักวิจัย ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว หรือ คิด for คิดส์ ได้มีการวิเคราะห์จากผลสำรวจนี้ไว้ว่า… ผลสำรวจเยาวชนไทยวัย 16-20 ปีเรื่องนี้สะท้อนถึงปัญหาที่น่าเศร้าของสังคมไทยได้ในอีกมุมหนึ่ง เนื่องจากคำตอบที่กลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยตอบนั้น สะท้อนว่า… มีเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยยังเข้าไม่ถึงปัจจัยดำรงชีวิตและสวัสดิการพื้นฐานที่ทั่วถึง เพียงพอ และเหมาะสม จนเป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้ “เยาวชนไทยไม่กล้าฝันไกล” เพราะต่อให้ได้เงินมาเป็นล้าน ก็ฝันได้เพียงแค่นำเงินก้อนนี้ไปช่วยทุกคนในบ้านให้กินอิ่มนอนหลับ ให้ตนเองได้เรียนหนังสือเท่านั้น จนกลายเป็น “อุปสรรคใหญ่ที่มาฉุดรั้งการเอื้อมคว้าความฝัน” ของเยาวชนไทย

และในช่วงท้ายบทความทางนักวิจัยคนเดิมยังได้มีการระบุไว้น่าคิดด้วยว่า… ผลสำรวจนี้สะท้อนว่า ไทยยังมีเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มจากชีวิตที่ติดลบ คนรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Gen Z ต้องแบกรับความยากจนและความเหลื่อมล้ำจากผู้ใหญ่คนรุ่นก่อนหน้ามาสู่รุ่นตนเอง จนเยาวชนเหล่านี้ คิดฝันและตัดสินใจอย่างเสรีไม่ได้ ซึ่งมิได้เป็นเพราะยังไม่มีวัยวุฒิพอ หรือโตไม่พอ หรือไม่มีความสามารถพอ แต่เพราะ โครงสร้างสังคมปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้อย่างเสมอภาค ดังนั้นปัญหาจึงอาจจะไม่ได้อยู่ที่คนไทยรุ่นใหม่ใช้เงินไม่เป็น หากแต่ “ปัญหาจริง ๆ” นั้น…

อาจเกิดจากโครงสร้างสังคมวิ่นแหว่ง

และการใช้เงินไม่เป็นของคนรุ่นก่อน

ที่ “Gen Z ต้องรับเคราะห์”…ก็ได้??.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์