กรณี “ชวนเอ๊ะ” ที่ว่าก็คือเมื่อมีกระแสเรื่องนี้อื้ออึงขึ้น ก็ตามมาด้วยบางกระแสที่ไม่เพียงเข้าข้างผู้ที่มีรสนิยมดังกล่าว แต่ยังพยายาม “โยนผิด” ไปที่ผู้ที่เป็นเหยื่อรสนิยมแบบนี้ด้วย ซึ่งกับเรื่องดังกล่าวนั่นก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม ชวนมองกันในภาพรวม ๆ ไม่ใช่การเฉพาะเจาะจงกรณีใด ๆ…ณ ที่นี้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูลที่น่าพิจารณา…
กรณี “เหยื่อกลับต้องกลายเป็นผู้ร้าย”
กรณีแบบนี้สะท้อนถึง “มายาคติพิษ”
ทั้งนี้ ว่าด้วย “มายาคติพิษ” แบบนี้ในทางจิตวิทยาก็ให้ความสนใจ… โดยถ้าเป็นเรื่องความรุนแรงทางเพศ-คุกคามทางเพศ กรณี “ข่มขืน” แล้วมีการ “เบี่ยงเบน-โยนความผิดให้กับเหยื่อ” พยายามจะ “ทำให้เหยื่อกลายเป็นผู้ร้าย” นั้น… บุณยาพร อนะมาน นักจิตวิทยา ศูนย์จิตวิทยาเพื่อประสิทธิภาพองค์กร (PSYCH-CEO) ได้ระบุไว้ผ่านบทความที่มีการเผยแพร่ไว้ทาง เว็บไซต์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสังเขปมีว่า… นับแต่อดีตถึงปัจจุบันก็ยังคงมีการกล่าวโทษ หรือโยนความผิดให้เหยื่อ แทนที่จะกล่าวโทษผู้ทำผิด โดยการที่สังคมยังคงมีความเชื่อลักษณะนี้ปรากฏอยู่นั้น เป็นผลจากการยอมรับใน “มายาคติของการข่มขืน” การโยนความผิดที่เกิดขึ้นให้มีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเหยื่อเองด้วย
ทางนักจิตวิทยาท่านนี้ระบุถึงการศึกษาต่าง ๆ ที่ได้ให้ “ความหมาย” ของ มายาคติของการข่มขืน (Rape Myth) ไว้ว่า… เป็นความเชื่อ ความคิด เจตคติ ที่ประกอบไปด้วยการกล่าวโทษเหยื่อของการข่มขืน หรือแม้แต่การลดทอนความรุนแรงและความผิดของผู้กระทำ การไปลดทอนความจริงจังของเหตุการณ์ ตลอดจนผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศหรือการข่มขืน หรือทำให้มองเหยื่ออย่างมีอคติ
สร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อเหยื่อ
สำหรับ “ประโยค” ที่ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเหยื่อความรุนแรงทางเพศมักใช้ เบี่ยงเบนผลจากความผิด นั้น ในบทความดังกล่าวได้ยกตัวอย่างไว้ อาทิเช่น… “ก็ไม่เห็นจะขัดขืนเลย…จะเรียกข่มขืนได้อย่างไร?” หรือ “แต่งตัวโป๊ขนาดนั้น…ใครเห็นก็อดไม่ได้หรือเปล่า?” หรือ “จริง ๆ แล้วก็ชอบไม่ใช่เหรอ?” …ซึ่งประโยคเหล่านี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบของ “ชุดความคิดที่พยายามสร้างขึ้น” เพื่อที่จะ ทำให้เข้าใจผิดหรือมองว่าเหยื่อพูดโกหก หรือเหยื่อเป็นคนเรียกร้องเอง รวมถึงเพื่อสื่อนัยให้เข้าใจว่า เหยื่อต้องการแบบนั้น ซึ่งเหล่านี้ เป็นการโจมตีที่เหยื่อ และเพื่อลดการกล่าวโทษผู้ทำผิด…
ที่ “เป็นผลจากมายาคติพิษ” นั่นเอง

อนึ่ง “มายาคติพิษ” ที่ส่งผล “ทำให้เหยื่อกลายเป็นผู้ทำผิด” นี้ นักจิตวิทยาท่านเดิมระบุไว้อีกว่า… การศึกษาเรื่องนี้ หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่นำมาสะท้อน คือ แนวคิดของ Lonsway และ Fitzgerald ที่มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมักเป็นถ้อยคำ-ตัวอักษร ที่มีลักษณะ เชิงลบต่อเหยื่อ หรือมุ่งหวัง โจมตีเหยื่อ โดยตรง ไม่ต่างกับการกรีดซ้ำลงบนบาดแผลของเหยื่อให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น โดย “มายาคติพิษ” ที่เป็นความเชื่อ-ความเข้าใจผิดนี้ ได้แก่…
มายาคติที่ 1 “ทุกอย่างเกิดเพราะเธอหรือเขา” เช่น ดื่มมากไป ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ไม่มีใครควรถูกข่มขืนหรือถูกทำร้าย และความมึนเมาไม่ใช่ข้ออ้างของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งการดื่มของมึนเมาไม่ใช่การเชิญชวนให้มีกิจกรรมทางเพศแต่อย่างใด, มายาคติที่ 2 “เธอหรือเขาเป็นฝ่ายเรียกร้องเอง” โดยข้อเท็จจริงนั้นไม่มีใครเรียกร้องความรุนแรงหรืออาชญากรรมทางเพศ และการให้ความยินยอมเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศก็สามารถเพิกถอนได้ทุกเมื่อ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สะดวกใจ, มายาคติที่ 3 “เธอหรือเขาไม่ได้ต่อสู้ขัดขืน” ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นบางครั้งความเครียด ความตกใจรุนแรง อาจทำให้ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ซึ่งการแสดงอาการนิ่งเฉยมักเกิดขึ้นเมื่อกลไกการป้องกันของสมองสั่งให้ร่างกายหยุดนิ่ง ที่เรียกว่า “ภาวะช็อก” ส่งผลให้ไม่สามารถต่อสู้ขัดขืนได้ โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ทำร้ายแข็งแรงกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า ทั้งร่างกายและจิตใจ
มายาคติที่ 4 “เธอหรือเขาไม่ได้ปฏิเสธ แล้วจะไม่ยินยอมได้อย่างไร?” ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น การปฏิเสธที่ชัดเจนอาจไม่ใช่สิ่งที่เหยื่อทำได้ในสถานการณ์ที่รู้สึกมีความหวาดกลัว หรือรู้สึกถึงภัยคุกคาม โดยเฉพาะเมื่อผู้กระทำอาจแสดงพฤติกรรมรุนแรงได้ทุกเมื่อ ก็อาจก่อให้เกิดความหวาดกลัวของเหยื่อในการจะปฏิเสธหรือขอความช่วยเหลือในขณะนั้น, มายาคติที่ 5 “หากร่างกายตอบสนองก็ไม่ใช่การข่มขืน” โดยข้อเท็จจริงปฏิกิริยาทางร่างกายที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการหล่อลื่น การแข็งตัว การถึงจุดสุดยอด ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ถูกกระทำมีความสุขหรือยินยอม แต่เป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติตามกลไกธรรมชาติเท่านั้น …ทั้งนี้ บุณยาพร อนะมาน นักจิตวิทยา ศูนย์จิตวิทยา PSYCH-CEO ระบุไว้ด้วยว่า… “อาชญากรรมทางเพศ” เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ในสถานการณ์เกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะระวังตัวเพียงใด ซึ่งการเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นเล็กน้อย ความเห็นอกเห็นใจแค่เศษเสี้ยว ก็อาจช่วยลดบาดแผลในใจเหยื่อได้
สังคม “ควรตระหนัก 5 มายาคติพิษ”
ที่ทำให้เกิดการ “ทำร้ายเหยื่อซ้ำ ๆ”
มายาคติ “พลิกเหยื่อเป็นคนผิด!!”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์