นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบผลดำเนินโครงการคนละครึ่ง ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ต.ค.63-เม.ย.65 และใช้วงเงินรวมกว่า 213,300 ล้านบาท โดยได้พบประเด็นสำคัญ ได้แก่ มีจำนวนผู้ใช้สิทธิต่ำกว่าเป้าหมายทั้ง 4 ครั้ง เช่น ครั้งที่ 4 เป้าหมาย 29 ล้านคน แต่มีผู้ใช้สิทธิเพียง 26.38 ล้านคน ซึ่งการที่จำนวนผู้ใช้สิทธิต่ำกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งจากข้อมูล ณ 30 เม.ย.65 มีงบประมาณคงเหลือถึง 23,153 ล้านบาท ทำให้เกิดค่าเสียโอกาสที่รัฐบาลจะนำเงินในส่วนนี้ไปใช้ในโครงการอื่น ๆ ที่สำคัญและเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด

ส่วนอีกประเด็น คือ พบการใช้จ่ายเงินที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ซึ่งมีร้านค้าและประชาชนที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจนถูกระงับสิทธิ และเรียกเงินคืน 296 ราย ซึ่งแม้รัฐจะพยายามประชาสัมพันธ์ และพัฒนาระบบเพื่อป้องกันปัญหา แต่ก็ยังพบการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เป็นระยะๆ สตง.จึงมีข้อสังเกตว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการคนละครึ่ง มีภารกิจหลักที่ไม่สอดคล้องกับโครงการฯ เพราะเมื่อตรวจพบผู้กระทำผิดจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารจำนวนมาก จึงส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน

“สตง. จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่กำกับดูแลและที่รับผิดชอบพิจารณาเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เพื่อให้จำนวนมีผู้เข้าร่วมสอดคล้องความเป็นจริง ขณะเดียวกันควรติดตามและประมาณการเบิกจ่ายอย่างใกล้ชิดโดยไม่ต้องรอให้สิ้นสุดโครงการ เช่น การคืนวงเงินของผู้ที่ไม่เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกภายในกำหนด เป็นต้น ขณะเดียวกัน หากจัดทำโครงการลักษณะเดียวกันในระยะต่อไป ควรมอบให้หน่วยงานที่มีภารกิจสอดคล้องกับโครงการฯ มารับผิดชอบ และควรทบทวนแนวทางการสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต โดยเน้นย้ำตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนหรือระหว่างการใช้งานฯ ว่ามีระบบคอยติดตามการกระทำผิดอยู่”