หลังจากห่างหายงานเพลงไปนานกว่า 8 ปี ในที่สุดศิลปินสาวมากความสามารถ อย่าง ซาร่า-นลิน โฮเลอร์ ก็ได้กลับมาทำงานเพลงที่เธอรักอีกครั้งกับผลงานเพลง “ไทเกอร์ส (TIGERZ)” ที่มีเนื้อหาเชิงปรัชญา อินสไปร์มาจากนิทานในพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องที่มนุษย์ต้องเจอกับเรื่องทุกข์ แต่จงมองหาความสุขในความทุกข์นั้น และดื่มด่ำกับมัน และเวลาจะผ่านไปให้เรารอดพ้นได้ในที่สุด  

เรียกว่าครั้งนี้เป็นการคัมแบ๊กสู่โลกดนตรีของเธอแบบสุดพิเศษ เพราะซาร่าได้ร่วมงานกับแฟนหนุ่มชาวอเมริกัน แอช จอร์แดน  (Ash Jordan)  ที่มีดีกรีเป็นทั้งแร็พเปอร์ นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ จากอเมริกา มานั่งแท่นโปรดิวเซอร์ ทำเพลงครั้งนี้ร่วมกันแทบทุกขั้นตอน ทั้งร้องทั้งแต่งในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษและภาษาไทย ในนามวง จังเกิ้ลซิตี้ (Junglcity) ภายใต้ สังกัด เอนไลน์เอ็ม (ENLIGHTM) พร้อมแทคทีมปลุกความเป็นเสือในตัวทุกคนให้ผงาดขึ้นเข้ากับปีเสือ เป็นกำลังใจให้ในเวลาทุกข์ และสร้างแรงบันดาลใจทุกคนได้ยืนหยัดอีกครั้ง แถมในส่วนเอ็มวียังทุ่มทุนไปถ่ายทำถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพราะอยากโชว์ความยิ่งใหญ่ และความสวยงามของธรรมชาติในเมืองไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นความภาคภูมิใจอย่างนึงของคนไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติของไทยอีกด้วย

ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสพูดคุยกับทั้งคู่แบบสุดเอ็กคลูซีฟถึงผลงานการทำงานเพลงด้วยกันครั้งนี้ รวมทั้งไม่พลาดอัพเรื่องรักครั้งใหม่ของ ซาร่า กับหนุ่มแอช จอร์แดน  พร้อมเปิดความประทับใจ และความคาดหวังกับรักครั้งนี้มาฝากกันด้วย

Q : จุดเริ่มต้นของการมาร่วมงานกันครั้งนี้?

ซาร่า : หลัก ๆ ที่ได้มาร่วมงานกัน เริ่มจากที่ซาร่ารู้สึกมีโอกาสทำงานตั้งแต่เข้าวงการมา จนกระทั่งได้เจอกับโปรดิวเซอร์ คุณแอช จอร์แดน เป็นโปรดิวเซอร์จากอเมริกา หลังจากที่ได้รู้จักกัน เลยตัดสินใจอยากลับมาทำงานเพลงอีกครั้งนึง เพราะว่าด้วยแนวเพลงของเขาและความต้องการของเรา ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เรายังไม่มีโอกาสได้ทำแนวเพลงที่เราอยากทำจริง ๆ ซึ่งเป็นแนวเพลงมาจากสไตล์ฮิปฮอป หรืออะไรที่เกี่ยวกับการเต้นและวงการเพลงไทย เราอาจยังไม่มีโอกาสเข้าถึงเพลงแบบนี้ หรือยังไม่มีใครทำเพลงให้แบบจริง ๆ จัง ๆ จนได้มาเจอกับออริจินอล โปรดิวเซอร์จากอเมริกาเลย เขาก็มีสตูดิโอของเขา เลยรู้สึกว่าพอได้เริ่มทำผลงานเพลงด้วยกัน ก็เริ่มจากความชอบและแพสชั่นของเขา ที่ทำงานเพลงตั้งแต่อายุ 18 พอได้แชร์เรื่องของดนตรีด้วยกัน ก็เริ่มทำปุ๊บเลยเกิดเป็นเพลงได้ง่ายดายขึ้นค่ะ

Q : แล้วไปเจอกันได้ยังไง?

ซาร่า : จริง ๆ รู้จักกันโดยบังเอิญค่ะ ตอนนี้ก็เกือบปีนึงแล้วที่ได้รู้จักกัน เริ่มจากการพูดคุยก่อนทั่วไป เขาก็ยังไม่รู้ว่าเราเป็นศิลปินดารา เพราะว่าเขาเพิ่งไปทำงานเพลงที่เกาหลี และก็มาเมืองไทย โดยที่ช่วงนั้นติดอยู่ที่เมืองไทยเนื่องจากโควิด เลยออกไปไหนไม่ได้ ก็ไปทำเพลงในสตูดิโอ แถวพร้อมพงษ์ หลังจากนั้นที่เขาได้รู้ว่าเราเป็นนักร้อง เคยไปโกอินเตอร์ ก็เห็นศักยภาพในตัวเรา และหนูก็เป็นคนพูดกับเขาเองว่าหนูยังไม่ได้ทำเพลงที่อยากทำจริง ๆ เขาเลยเกิดไอเดียว่าเราอยากทำเพลงแบบไหน ชอบแบบไหน ก็เริ่มแชร์กัน ด้วยความที่วิญญาณโปรดิวเซอร์เข้า ก็เลยสร้างเพลง ไปติดต่อโปรดิวเซอร์ที่เมืองนอก เพราะว่าเขาก็มีคอมมูนิตี้หลากหลายคน ก็เริ่มแชร์ไอเดีย เอาเพลงให้เราฟังหลาย ๆ เพลง เขาก็บอกว่าต้องซื่อสัตย์กับความชอบของตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมทำให้คุณแล้วต้องมาฝืนทำ ก็ไม่ใช่ เราก็ใช้เวลาเกือบปีที่เรามานั่งฟังเพลง นั่งซึมซับเรื่องานเพลงมากขึ้น เหมือนเขาเป็นคนทำให้หนูกลับมา

Q : ถามถึงที่มาและแรงบันดาลใจของเพลง “TIGERZ”?

แอช จอร์แดน : คือผมได้ฟังนิทานเปรียบเปรยในพุทธศาสนา มีผู้ชายคนนึงวิ่งหนีเสือและไปหลบอยู่ในบ่อ และใต้บ่อมีงูอยู่ เขาเลยต้องห้อยตัวเองกับกิ่งไม้กิ่งนึง ซึ่งกิ่งไม้นั้นด้านบนมีรังผึ้ง แล้วน้ำผึ้งก็หยดลงมา ชายคนนั้นก็เอาลิ้นเลียเพื่อกินน้ำผึ้ง รับความหวานในช่วงเวลานั้น ผมได้แรงบันดาลใจมาจากตรงนี้ที่ว่า ในทุกสถานการณ์ที่เลวร้าย เราก็ยังมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาจากเรื่องรอบ ๆ ตัว ก็อยากให้มองเห็นคุณค่าของมันครับ ซึ่งผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ซาร่าฟัง และเกิดเป็นไอเดียทำไมไม่ทำเป็นเพลง อยากลองนำเรื่องราวของไทย วัฒนธรรมไทยมานำมาทำกับเพลงในวัฒนธรรมตะวันตก เรามองว่าด้วยความแตกต่างของเราทั้งคู่ และตัวซาร่าเองก็เป็นลูกครึ่ง และผมเป็นอเมริกันตะวันตก ถ้าเราลองทำโปรเจคท์เพลงที่ผสมผสานความแตกต่างนั้นให้ลงตัว และแชร์วัฒนธรรม คำสอนของไทยผ่านเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ ผลักดันได้คนเมืองนอกได้เข้าใจเนื้อเพลงในรูปแบบใหม่ ที่นอกเหนือจากเรื่องของความรัก หรือการเป็นแก๊งสเตอร์จากเพลงฮิปฮอปที่เราฟังอยู่บ่อย ๆ ครับ

ซาร่า : คือเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนจะฟังเพลงนี้แล้วเข้าใจตั้งแต่แรก เพลงนี้อาจต้องค่อย ๆ ฟัง รอบที่สองหรือสามถึงจะเข้าใจถึงเนื้อเพลงว่ามันหมายถึงอะไรยังไงค่ะ ซึ่งเพลงมี 2 เวอร์ชั่น มีเวอร์ชั่นที่เป็นเนื้อภาษาอังกฤษล้วนเลย และด้วยความที่เป็นซิงเกิ้ลแรก หนูอยากสื่อถึงคนไทยได้ด้วย เลยแต่งท่อนภาษาไทยลงไปด้วย ก็จะได้มี 2 ภาษาค่ะ

Q : ด้วยความที่วัฒนธรรมของฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ก็มีความต่างกัน ในแง่การทำงานร่วมกันต้องปรับจูนมากน้อยแค่ไหน?

แอช จอร์แดน : ด้วยความที่ต่างวัฒนธรรมกัน มันเลยเหมือนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันในทุก ๆ วันเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งนี้คือความสวยงามที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งเลยที่เหมือนกันตรงที่วัฒนธรรมของผมและของคนไทยก็คือการทำงานและดูแลครอบครัว ในฝั่งของผม ผมก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ผมทำงานใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของครอบครัวเหมือนกัน ซึ่งมันก็เหมือนกับของไทย ที่ทำงานทุกวัน และดูแลพ่อแม่ ตรงนี้เลยทำให้มันลิ้งค์กันได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำครั้งที่ผมได้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ผมก็ค่อย ๆ ถูกปลูกฝังในเรื่องของวัฒนธรรม เช่น มุกตลก ซึ่งบางครั้งผมก็ไม่เก็ทบ้าง (ยิ้ม) ปลูกฝังเรื่องความเป็นไทย หลายเรื่องที่คนไทยชอบทำ หรือสนุกกับชีวิตประจำวัน ความเป็นอเมริกัน คือค่อนข้างที่จะเป็นคนที่เปิดใจกว้างในเรื่องของความคิดอยู่แล้ว ส่วนของคนไทย ก็เป็นความคิดที่ยอมรับในเรื่องของความจริงต่าง ๆ นานา เราเลยมีตรงนี้เป็นจุดเชื่อมโยงการระหว่างทำงานด้วยกัน และพื้นฐานของความเป็นครอบครัวที่อยู่ด้านหลังเรา ที่คอยซัพพอร์ต ทุกอย่างที่ซ่าราสอน ผมก็เอาไปแชร์ให้ครอบครัวฟัง พูดให้ฟังว่าการทำงานในเมืองไทยเป็นยังไงครับ

ซาร่า : สำหรับซาร่าโชคดีที่ประสบการณ์การทำงานเยอะมาก ๆ กับการทำงานในหลาย ๆ องค์กร ตั้งแต่เอเอฟ การทำงานในวงการเพลงประเทศไทย และมีโอกาสโกอินเตอร์อยู่ช่วงนึง ที่ไปทำงานที่เกาหลี และประเทศจีน มันเหมือนเราเป็นคนที่ปรับตัวได้ง่ายอยู่แล้วกับสถานการณ์และทุก ๆ สถานที่ ที่เราได้ไป แม้กระทั่งตอนที่เราไปจีน หนูพูดจีนไม่ได้เลย เป็นศูนย์ แต่พอไปเราก็ได้เรียนรู้ และพอกลับมาเราก็พูดจีนได้ เป็นโอกาสที่ทำให้เราต้องรับผิดชอบในทุกอย่าง และใช้ชีวิตในแต่ละวันมีความหมายและคุ้มค่ามากที่สุด และเมื่อมีโอกาสได้มาร่วมงานกับอีกหนึ่งวัฒนธรรม อีกหนึ่งโปรเจคท์ ซึ่งมันไม่ได้ยากกว่าเดิมเลยนะคะ เพราะเขาอยู่ไทยเอง เขามีค่ายเพลงที่เมืองไทยด้วย ซึ่งมันก็ง่ายต่อการเดินทาง ไปสตูดิโอง่าย อัดเพลงก็ง่าย ไม่ต้องเดินทางไกล สิ่งที่แตกต่างกัน คือเราได้มีโอกาสแชร์ความคิด แชร์เสียงเพลง แชร์ความชอบในการทำเพลง ให้เป็นศิลปะมากขึ้น เลยง่ายขึ้นด้วยในการทำงานตรงที่เราเอาประสบการณ์ที่เราเรียนรู้มาทั้งหมด ทำให้การทำงานระหว่างกันง่ายขึ้นกว่าเดิม

Q : แปลว่าในมุมของดนตรีไม่ต้องปรับใช่มั้ย มันเข้ากันได้หมดเลยรึเปล่า?

ซาร่า : ถ้าเรื่องการปรับของหนู ก็มีแค่การที่เราต้องพัฒนาขึ้น เพราะเขาทำงานมาตั้งแต่อายุ 15…

แอช จอร์แดน : คือครอบครัวของผมเป็นครอบครัวดนตรีอยู่แล้ว พ่อของผมเป็นโปรดิวเซอร์ ตั้งแต่จำความได้ ผมก็นั่งบนตักพ่อ ทำงานเพลงกับคุณพ่อ เห็นคุณพ่อทำงานให้ศิลปินหลาย ๆ คน จนกระทั่งอายุ 18 ผมก็ได้ทำงานกับโปรดิวเซอร์ ที่เป็นทีมโปรดักชั่นให้ศิลปินดังหลาย ๆ คนที่อเมริกา และผมทำงานในวงการเพลงมาสิบกว่าปี ซึ่งจุดประสงค์ของผมที่มาเมืองไทย คืออยากผลักดันเรื่องของวัฒนธรรมเพลง ให้คนไทยได้พัฒนาศิลปินไทยด้วย ไม่ใช่แค่ซาร่า ซึ่งเป็นศิลปินคนแรกที่อยากทำเพลงให้ คือผมมองว่าซาร่าศักยภาพพร้อมแล้ว แค่ผลักดันเรื่องเพลง และซาร่าก็มีความฝันอยู่แล้ว จึงทำให้ผมโปรดิวซ์เพลงได้ง่ายขึ้นและแชร์ความเป็นตัวซาร่ามากขึ้นได้ครับ

Q : ด้วยความที่ตลอดเพลงตอนนี้ก็เปิดกว้างและมีการแข่งขันที่สูงขึ้น คิดว่าความหรือท้าทายในการทำงานครั้งนี้คืออะไร และมีความคาดหวังยังไง?

แอช จอร์แดน : เรามองข้ามการแข่งขัน ไม่ได้โฟกัสว่าต้องเก่งหรือดีกว่าใคร ต้องได้อันดับ 1 แต่เรามองว่าเวลาที่เราขับรถไปตามถนน หรือเห็นคนรอบว่าเขาต้องการอะไร เขาอาจต้องการแรงบันดาลใจบางอย่าง เมื่อไหร่ที่เขาต้องการแรงบันดาลใจหรือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำเพลงออกมา ซึ่งเราเพลงนี้ด้วยใจ ด้วยสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ณ ตอนนั้นในสตูดิโอเหมือนเราเข้าวัดเลย เราจุดเทียนและอัดเพลงด้วยโมเมนต์ที่เราสบายใจ ทำแล้วมีความสุข และเชื่อว่าเพลงนี้เมื่อไหร่ที่ใครต้องการกำลังใจ ก็อาจมาฟังเพลงเรา หรือเมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อ ก็ฟังเพลงเราได้

ซาร่า : หนูรู้สึกที่ความสุขมากที่ได้กลับมาทำงานเพลงอีกครั้งนึง ในความรู้สึกหนูได้ก้าวข้ามผ่านความกลัว หรือความไม่กล้า ที่จะทำมาตั้งนานแล้วแต่มันไม่มีโอกาสได้ทำ มันไม่มีใครการันตีได้หรอกว่าจะทำสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก แต่อย่างน้อยเราได้ลองลงมือทำ และทำด้วยใจจริง ๆ มันอาจไม่ใช่เปรี้ยงปร้างในครั้งแรก แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราทำครั้งนี้แล้วเราจะหยุดทำ ก็คิดว่าจะพัฒนา ทำต่อไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเรามีโอกาส เราได้ร่วมงานกับค่ายเพลงในเมืองไทย ที่มีโปรดิวเซอร์ระดับโลก สิ่งที่เราต้องทำ ก็แค่พัฒนาตัวเองไป ไม่หยุดและไม่ท้อ ตอนนี้ก็ภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้ เพราะเราได้มีโอกาสออกไอเดียให้คนเข้าใจเรื่องคอนเซปต์ และมันไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น ที่จะเข้าถึงได้ มันหมายถึงคนทั่วโลก ที่สามารถฟังและเข้าถึงได้ และทำให้คนทั่วโลกได้เข้าใจถึงลึก ๆ ในเรื่องของสังคมและความคิดของคนไทยผ่านเนื้อเพลงนี้ แค่นี้ก็รู้สึกภูมิใจแล้วค่ะ ซึ่งครั้งก็ถือเป็นการกลับมาทำงานเพลงอีกครั้งในรอบ 8 ปี ตั้งแต่ที่เราไปจีน ตอนนั้นตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ทำกับไอมี่ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้อีกเลย จนได้กลับมาอีกครั้งก็ปี 2022 นี้ค่ะ ตอนแรกก็มีคิดนะคะว่าฉันจะแก่ไปมั้ย เพลงต้องเป็นเด็ก ๆ หรือเปล่า แต่เขาก็โชว์ผลงานของคนต่างชาติ ที่เขาได้ไปโปรดิวเซอร์ให้ดู ซึ่งคนที่โน่นเขาไม่ได้แคร์ว่าอายุจะแก่แค่ไหน ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีฝัน มีความสามารถ คุณก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง เพราะมันสายเกินไปค่ะ ทุกครั้งที่หนูมีโอกาสก็จะคว้ามัน ทำมันให้เต็มที่ แม้ว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ภูมิใจที่ได้ทำค่ะ

Q : อัพเดทความรักบ้าง อยากรู้ถึงจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เปิดใจคุยกัน?

ซาร่า :  เรื่องอาหารค่ะ ครั้งแรกนัดเจอที่ร้านอาหารวีแกน โดยที่เค้าไม่รู้จักเรามาก่อน แล้วซาร่าก็กินวีแกนมาได้ปีนึงแล้ว ถามว่าด้วยความที่เขาเป็นคนต่างชาติ ต้องปรับจูนในเรื่องของการใช้ชีวิตหรือวัฒนธรรมเยอะรึเปล่า จริง ๆ เขาเป็นคนเปิดกว้าง และชอบเมืองไทย และชอบวัฒนธรรมไทยมาก อยู่เมืองไทย 4 ปีกว่าแล้ว

Q : ประทับใจอะไรในตัว “แอช จอร์แดน” ที่สุด?

ซาร่า : เรื่องการทำงานค่ะ เขาเป็นคนตั้งใจ และมุ่งมั่นในการทำงานมาก และเป็นคนสะอาด ไม่เหมือนเราสกปรก (หัวเราะ) ถามว่าพอเป็นคนรักกันมาทำงานด้วยกัน มีปัญหามั้ยรึเปล่า จริง ๆ  เราใช้คำว่าเฟรนด์ชิพ (Friendship) ค่ะ เราถือว่าการเริ่มจากมิตรภาพที่ดี คือกุญแจสำคัญในการเติบโตและเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ส่วนการทำงานเราก็มีอะไรก็จะบอกกันตรง ๆ ดีก็กว่าดี ไม่ดีก็ไม่อวย

Q :  เห็นว่า “ซาร่า” พา “แอช” ไปเจอครอบครัวแล้ว เป็นยังไงบ้าง?

ซาร่า : ครอบครัวก็เปิดรับค่ะ เห็นว่าเราได้ทำในสิ่งที่ชอบก็สนับสนุน ส่วนความคาดหวังต่อความรักครั้งนี้ เอาจริง ๆ คาดหวังเรื่องเพลงดีกว่าค่ะ เราอยากทำเพลงที่มีความหมายดี ๆ และก็อยากพัฒนาศิลปินไทยให้ได้ไปถึงระดับโลก

Q : ด้วยวัย ณ ตอนนี้ ทำให้มองไปถึงการใช้ชีวิตเรื่องแต่งงานเลยมั้ย?

ซาร่า :  ตอนนี้โฟกัสกับงานเพลงก่อนค่ะ อยากให้การงานเติบโตก่อน แต่งงานค่อยว่ากันค่ะ

Q :  ถ้าอย่างนั้น อยากรู้นิยาม “ดนตรี” ในความคิดทั้งคู่?

แอช จอร์แดน : สำหรับผม ดนตรีคือภาษาจักรวาล เป็นโลกที่สามารถเชื่อมโยงคนให้มารวมกันได้ เป็นสังคมได้ครับ

ซาร่า : จริง ๆ หนูก็มองว่าเรื่องของดนตรี เป็นตัวแทนของความรู้สึก สิ่งที่อธิบายแทนความรู้สึกคนได้ และคงไปในทิศทางเดียวกับคุณแอช ก็เป็นภาษาด้วย เวลาที่เรารู้สึกแบบไหน เราก็จะสื่ออกมาทางดนตรี แม้แต่ศิลปินเอง ตอนคุณร้องเพลงเศร้า ก็เพราะเขาอยากแชร์ภาษาเศร้าในตัวเขา เขาร้องเพลงรักก็เพราะเขาอยากแชร์ภาษารักของเขา และการที่เราร้องเพลงเกี่ยวกับปรัชญา เพราะเราก็อยากจะแชร์ความสุขให้ทุกคนได้กลับมาเล็งเห็นชีวิตว่า มันไม่จำเป็นต้องมีแค่สุขและทุกข์ตลอดเวลา หรือไม่จำเป็นต้องมีรักและเศร้าตลอดเวลา บางครั้งเราก็ต้องหาแรงบันดาลใจในชีวิตให้เราลุกขึ้นนอีกครั้ง ผ่านเสียงเพลงค่ะ

Q : ทำไมแฟน ๆ ทั่วโลกไม่ควรพลาดผลงานครั้งนี้?

แอช จอร์แดน : ผมหวังว่าไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือทั่วโลก อยากฝากให้ทุกคนได้ตระหนักว่า ถ้ามีฝันก็ให้ลงมือทำ อย่าปล่อยมันไปค่ะ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากความกลัวของตัวเอง และลงมือทำในสิ่งที่เราฝันครับ

ซาร่า : อยากขอบคุณแฟน ๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมา เชื่อว่ายังมีแฟน ๆ อีกหลายคน ซึ่งตอนนี่น่าจะแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวกันแล้ว และหลาย ๆ คนก็น่าจะมีภาระหน้าที่ของตัวเอง ก็อยากฝากความคิดถึง สำหรับใครที่ติดตามเรามาตั้งแต่เริ่ม และเราอาจไม่ได้เจอกันระยะยาว การกลับมาครั้งนี้ก็อยากขอบคุณในทุกโอกาสที่ผ่านมาในชีวิตและขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจที่ได้จากทุกคนเหมือนกัน ถ้าไม่มีทุกคน หนูก็คงไม่ได้อยากทำเพลงตรงนี้ออกมา และฝากเป็นกำลังใจให้กับการเพลงต่อ ๆ ไปด้วย นี่อาจเป็นซิงเกิ้ลแรก เชื่อว่าต่อไปเราก็จะทำแนวเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคน อาจเป็นเพลงเต้นเลยก็ได้ (ยิ้ม) ฝากติดตามเราด้วย

เรียกว่าตอนนี้สาว “ซาร่า” ทั้งลัคกี้อินเกม และลัคกี้อินเลิฟ สุด ๆ และการจับมือทำดนตรีกับ “แอช” ยังเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของไทยและฝั่งตะวันตกได้อย่างลงตัว เติมสีสันให้วงการเพลงได้ดีจริง ๆ