นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ถือว่ากลับมาฟื้นตัวแล้ว ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การบริโภค การใช้จ่ายที่กลับมาต่อเนื่อง ดังนั้น วันนี้จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพามาตรการคนละครึ่งอีกต่อไป เนื่องจากไม่มีความจำเป็นแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่กระทรวงการคลังเน้นย้ำคือ การแก้ไขปัญหาหนี้สินต่างๆ ของประชาชน ที่ยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนแพ็กเกจมาตรการของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ตอนนี้ยังจัดทำไม่เสร็จ ขอให้อดใจรอดูก่อน

“ปัจจุบันการใช้จ่ายของประชาชนเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว โดยวัดจากอัตราการใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 3 ปี 65 ที่ตัวเลขการจับจ่ายของประชาชนก็ออกมาค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปสนับสนุนในโครงการที่รัฐต้องออกเงินช่วย ก็อาจจะลดน้อยลงไป ส่วนเรื่องของขวัญปีใหม่ 66 ตอนนี้ยังไม่พร้อมเสนอ ยังรวบรวมไม่เสร็จ แต่มีมาตรการออกมาเยอะแน่นอน รอดูได้เลย”

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้าเชื่อว่า การที่ทั่วโลกเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ย่อมกระทบกับประเทศไทยด้วย แต่โอกาสของไทยมีมากกว่า ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องมีแรงส่ง ทั้งการบริโภควนประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ต่อมาการส่งออกยังดีต่อเนื่อง แรงส่งต่อมารัฐบาลก็ทำงบขาดดุลอยู่ หลังจากนี้จึงต้องลงทุนมากขึ้น เพื่อตอนเศรษฐกิจฟื้นตัวประเทศไทยจะได้โครงสร้างพื้นฐานที่ดีไว้รองรับ จึงวางแผนการออกบอนด์ หรือตราสารหนี้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เป็นโครงการสีเขียว มูลค่าประมาณ 5.5 ล้านล้านบาท ในช่วง 8-10 ปี

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการคนละครึ่งถือว่าเข้าใจได้ เพราะการออกมาตรการใดก็ตาม ย่อมมีภาระต่อภาคการคลัง ต้องนำเงินภาษีของประชาชนมาอุดหนุน แต่ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนหลังจากนี้ คือการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ด้วยการลดข้อจำกัดต่างๆ ลงไป อาทิ การเปิดให้ต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ และใช้โอกาสในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ต่อยอดการจัดประชุมเอเปคที่ผ่านมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

“ปีหน้าที่เข้าสู่การเลือกตั้ง​ เรื่องปากท้องควรเป็นเรื่องแรกที่รัฐบาลใหม่จะต้องให้ความสำคัญ หากไม่เห็นความสำคัญของปากท้องอาจจะอยู่ได้ยาก โดยเศรษฐกิจของประเทศเวลานี้เชื่อว่าจะดีขึ้นแล้ว และจะไม่เกิดสุญญากาศด้านนโยบายเศรษฐกิจ

ขณะที่การรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน​ที่จะยื่นสมุดปกขาว​ถึงรัฐบาลวันที่​ 27 พ.ย. เบื้องต้น​ข้อเสนอในสมุดปกขาวจะเป็นนโยบายที่ต้องการให้ภาครัฐเร่งฟื้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุน​ ควบคู่กับการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ​ เช่น​ การลงทุนในประเทศ​จีน​ ซาอุดีอาระเบีย​ รวมถึงเวียดนาม​ ที่ตั้งเป้าหมายลงทุนมูลค่า​ 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 68” ​