จากกรณีการทุจริตการสอบนายสิบของตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 (ศฝร.ภ.9) โดยได้มีคำสั่งให้ 118 นักเรียนนายสิบ พ้นสภาพ พร้อมกับเร่งหาหลักฐานเพื่อเอาผิดผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม นั้น

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. พล.ต.ท.นันทเดช น้อยนวล ผบช.ภ.9 เปิดเผยว่า ได้รับการเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด ตั้งแต่วันเริ่มต้นของการเกิดคดีนี้จาก พ.ต.อ.เอนก ศรีคำอ้าย รอง ผบก. สอบสวน ภ.จว.สงขลา ว่า ในการสอบนายสิบครั้งนี้ ผู้เป็นประธานอนุกรรมการสอบได้แด่งตั้ง พล.ต.ต.ดุษฎี ชูสังกิจ รอง ผบช.ภ.9 ส่วนตนเองเป็นอนุกรรมการการสอบ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการสอบในสนามสอบครั้งนี้ และในวันที่มีการสอบคือวันที่ 27 มี.ค. 2562 เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการสอบที่สนามสอบโรงเรียนวัดแจ้ง อ.เมือง สงขลา ได้ทำการตรวจพบว่านายจิรภัทร ซึ่งเป็นผู้เข้าสอบที่มีภูมิลำเนาใน ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง นำกระดาษเฉลยข้อสอบเข้าห้องประชุม จึงได้ทำการจับกุม และนำส่ง พ.ต.ท.อเสก สีเขียวแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.เมือง สงขลา ซึ่งตนได้เข้าร่วมทำการสอบสวนในคดีนี้มาตั้งแต่ต้น

ในการสอบสวน นายสุทัศน์ และนายวิทย์ ซึ่งเป็นบิดาและญาติกับนายจิรภัทร ได้ความว่า มีผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่คนหนึ่ง เป็นผู้ติดต่อให้มีการซื้อข้อสอบจาก ”ติวเตอร์” ใน จ.สงขลา ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เชิญผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวมาสอบสวน ได้ความว่า มีนายหน้ามาติดต่อในเรื่องการขายข้อสอบ ตนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ จึงได้แจ้งให้ครอบครัวของนายจิรภัทรทราบ และมีการนัดให้ไปพบที่ อานนท์รีสอร์ท เพื่อตกลงในการจ่ายเงิน และวิธีการในการรับคำเฉลยข้อสอบ

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้เข้าตรวจสอบ อานนท์ รีสอร์ท เพื่อเก็บหลักฐานของผู้ที่เปิดห้องพักคือ นายณิชธรรมรงค์ ซึ่งมีการเปิดห้องเป็นจำนวนมาก และมีการนัดผู้สมัครสอบนับสิบคนมาที่ อานนท์ รีสอร์ท เจ้าหน้าที่ได้ทำการเอาภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดมาตรวจสอบผู้ที่เดินทางเข้า-ออก และทะเบียนรถ มีจำนวนกว่า 100 คน และติดตามมาสอบสวนแล้วจำนวนหนึ่งเพื่อหาข้อเท็จจริง และนอกจากมีการนัดพบกันที่ อานนท์ รีสอร์ท แล้ว ยังมีการนัดพบกันระหว่าง “ติวเตอร์” กับ ผู้สมัครสอบในโรงแรมอีก 2 แห่ง ใน อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าเก็บข้อมูลและภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อเป็นพยานหลักฐานแล้วเช่นกัน

ทนายชี้เรื่องใหญ่ทำเป็นขบวนการ ‘118 นร.นายสิบ’ ต้องขึ้นศาลทุจริตฯ…

หลังจากที่มีการสอบสวนและพบว่ามีการทุจริตแบบเป็นขบวนการ ไม่ใช่แค่นายจิรภัทร เพียงคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นกฎหมายเก่าความผิดนี้แค่การตัดสิทธิไม่ให้เข้าสอบเท่านั้น จึงได้มีการรายงานให้ ผบช.ภ.9 และ ผบช.ศ (กองบัญชาการศึกษา) สนง.ตร.แห่งชาติ ได้รับทราบ และ ผบช.ศ. ได้ส่ง พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพันธ์ จากกองบัญชาการศึกษา เข้าร่วมในการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ จนพบหลักฐานที่มีการโอนเงินจากผู้สมัครสอบ ให้กับกลุ่มนายหน้าและพบธุรกรรมทางการเงินในกลุ่มของ “ติวเตอร์” และ เครือญาติ ร่วมทั้ง ร.ต.อ.หญิง, สามี และ น้องสาว เกือบ 50 ล้านบาท ซึ่งมีการถอนเงิน ปิดบัญชีก่อนถึงวันสอบประมาณ 10 วัน แต่ก็ถือว่าเป็นหลักฐานในการทำความผิดที่สมบูรณ์ ส่วนรายละเอียดของการสอบสวนพบว่า ไม่ได้มีการทุจริตเพียงสนามสอบย่อย ที่ จ.สงขลา เพียงแห่งเดียว ที่สนามสอบศูนย์ฝึกอบรมก็มีการทุจริตเช่นกัน โดยผู้ที่สมัครสอบที่ซื้อข้อสอบ

ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นผู้ปกครองของนักเรียนที่เป็นผู้จ่ายเงินให้กลุ่มนายหน้าในการทุจริตครั้งนี้ เปิดเผยว่า มีการตกลงจ่ายเงินเป็นระบบ โดยตกลงกันที่ 500,000 บาท แต่จ่ายก่อน 300,000 บาท ในส่วนของการสอบข้อเขียน ถ้าสอบไม่ผ่านจะจ่ายเงินคืนให้ 100,000 บาท หลังจากนั้นต้องจ่ายอีก 200,000 เป็นค่าสอบพละ และสอบสัมภาษณ์ นี่คือข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ชุดสืบสวนสอบสวนใน จ.สงขลา รวมรวมไว้ทั้งหมด และได้รายงานให้ ผบช.ภ.9 ทราบ

สำหรับวิธีการทุจริต ที่ได้รับการเปิดเผยจากผู้เข้าสอบ ทำให้ทราบว่าไม่ได้มีการ ”ติวข้อสอบ” แต่อย่างใด แต่นายหน้า และติวเตอร์ ที่เป็นคนขายข้อสอบ ได้มอบเครื่องพรินเตอร์เล็กๆ ให้กับทุกคนที่จ่ายเงิน และก่อนที่จะเข้าห้องสอบ 1 ชั่วโมง จะมีการส่งผลเฉลยข้อสอบไปให้ ซึ่งข้อสอบทั้งหมด มี 5 ชุด ซึ่งจะมีการให้รหัส เช่นถ้าเป็นข้อสอบชุดที่ 1 ก็เป็น ก.ไก่ ชุดที่ 2 เป็น ข.ไข่ เป็นต้น ซึ่งทุกคนก็จะได้เครื่องพรินต์ไป แต่เจ้าหน้าที่ตรวจไม่พบ จับได้เฉพาะนายจิรภัทร์ ที่สนามสอบวัดแจ้งเพียงคนเดียว.