จากกรณี ผู้เสียหายซึ่งเป็น นักธุรกิจหนุ่ม เข้าไปใช้บริการฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่งแล้วอ้างว่า สิ่งของมีค่ากว่า 10 ล้านบาท ที่เก็บเอาไว้ขณะออกกำลังกาย ได้ถูกขโมยหายไปจากตู้เก็บล็อกเกอร์ จึงรีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้มาตรวจสอบเหตุดังกล่าวบนฟิตเนสห้างดังกล่าว แต่กลับพบว่าตรงล็อกเกอร์ที่เก็บทรัพย์สินนั้น ไม่มีกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด ประกอบกับวันเกิดเหตุมีผู้เข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามเรื่องราวดังกล่าวกับผู้จัดการของฟิตเนสที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าฝ่ายผู้จัดการแจ้งว่า ไม่สะดวกจะให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นกับสื่อมวลชน แต่ได้มอบหลักฐานต่างๆ กับทางตำรวจไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม นายเอก (นามสมมุติ) หนึ่งในสมาชิกเมมเบอร์ฟิตเนสแห่งนี้ให้การอ้างว่า ตนเป็นสมาชิกมาประมาณ 10 กว่าปี พบว่ามีของหายบ่อยมาก เมื่อ 2 ปีก่อน ตนวางหูฟังวางไว้แถวล็อกเกอร์ไม่ถึง 5 นาที หันไปมองของก็หายไปแล้ว แต่เพราะของชิ้นนั้นราคาไม่แพง จึงไม่ได้ไปแจ้งความ และที่น่าตกใจก็คือ ทางสมาชิกต้องพกกางเกงในกระดาษติดตัวอยู่ตลอด เพราะถ้าเผลอเป็นโดนขโมยกางเกงในไปด้วย ท้ายที่สุดสมาชิกได้แต่เตือนกันเอง ระมัดระวังกันเอง อย่างเคสของนักธุรกิจหนุ่มที่ทรัพย์สินหายไปกว่า 10 ล้านนั้น ตนทราบมาว่า เขาเก็บกุญแจไว้กับตัวตลอด ท้ายที่สุดก็ยังถูกขโมยอยู่ดี จึงอยากให้ทางฟิตเนสมีระบบป้องกันที่ดีกว่านี้

ขณะที่ นายเอ (นามสมมุติ) หนุ่มนักธุรกิจ อายุ 35 ปี ผู้เสียหายรายแรก เปิดเผยว่า ตนเข้ามาฟิตเนสเช็กอินเปลี่ยนเสื้อผ้าออกกำลังกายตามปกติ กระทั่งผ่านไป 2 ชม. จึงกลับมาเอาของเพื่ออาบน้ำ พอเปิดล็อกเกอร์กลับพบว่าโล่งว่างเปล่า ของหายเกลี้ยง ซึ่งตรงจุดที่หายไปนั้น กลับไม่มีวงจรปิดแต่อย่างใด จะมีก็แค่ทางเข้าออก ที่สำคัญฟิตเนสไม่ได้ให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นแต่แรก อ้างว่าต้องเอาหมายค้นมาก่อน สุดท้ายจึงทำได้เพียงไปลงประจำวันเอาไว้ อีกประเด็นที่น่าสงสัยคือ ล็อกเกอร์มันต้องมีคีย์การ์ดใส่เข้าไปเพื่อบิดกุญแจออก แต่กลับถูกไขเอาของไปจนหมด ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ซึ่งตนไม่อยากจะเดาว่าเป็นคนในหรือไม่ แต่ลักษณะการก่อเหตุคือ เอากุญแจไขเอาของไปง่าย ๆ แล้วก็ไขกุญแจล็อกเหมือนเดิม