เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่ อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกกรมากที่สุดทั้งรายเล็กรายใหญ่ หลังพบว่าราคาสุกรหน้าคอกของเกษตรกรมีราคาลดฮวบ จากราคากิโลกรัมละ 110 – 115 บาท เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80 บาท เท่านั้น ซึ่งลดลงจากเดิมถึงกิโลกรัมละ 30–35 บาท แต่เกษตรกรก็ต้องจำใจยอมจับขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากถึงกำหนดจับขาย หากเลี้ยงไว้ต้องกินทุนค่าอาหารเพิ่มขึ้นอีก ประกอบกับปัจจุบันค่าอาหารหมูนั้น มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วยเช่นกัน

โดยนายธีรวัฒน์ ยิ้มช้อย อายุ 40 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายหนึ่งในพื้น กล่าวว่า ตนเองเลี้ยงสุกกรเป็นอาชีพมา 12 ปีแล้ว ปีนี้ถือว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาอาหารขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมายังพอรับได้นั้นเพราะก่อนหน้านี้ ราคาหน้าคอกยังพอมีราคาสูงที่กิโลกรัมละ 110–115 บาท ก็ถือว่ายังมีกำไรอยู่กันได้ แต่ว่าตอนนี้ราคาลดฮวบลงมาเหลือกิโลกรัมละ 80 บาท และยังมีแนวโน้มลดต่ำดิ่งลงไปถึงกิโลกรัมละ 70 บาทอีกด้วย ส่งผลให้เกษตรกรเดือดร้อน ต้องแบกรับต้นทุนและจำใจยอมขาดทุนกัน อย่างตนเองเลี้ยงสุกรครั้งละ 20 ตัว มีต้นทุนเป็นค่าพันธุ์หมูตัวละ 2,500 บาท 20 ตัว เป็นเงิน 50,000 บาท ต้องเลี้ยงเป็นเวลา 4 เดือน จึงจะจับขายได้ เมื่อคิดค่าอาหารหมูแล้ว 1 ตัว ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ จะมีทุนทั้งค่าตัวและค่าอาหารรวม 8,000 – 8,500 บาท 20 ตัวจะมีต้นทุนรวม 160,000 บาท

นายธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งตอนนี้ก็ถึงกำหนดขายแล้ว ราคาขายได้เพียงกิโลกรัมละ 80 บาทเท่านั้น โดยหมูแต่ละตัวเฉลี่ยจะมีน้ำหนัก 110 กิโลกรัม 1 ตัว จะมีราคา 8,800 บาท ถ้า 20 ตัว ราคารวมแล้ว ขายขายได้เพียง 176,000 บาท แต่มีต้นทุนถึง 160,000 บาท เหลือกำไรเพียง 16,000 บาท ได้กำไรตัวละ 300 – 500 บาท ถือว่าไม่ได้กำไร เพราะต้องเสียค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ และเสียเวลาถึง 4 เดือน

“แต่ก็จำเป็นต้องจับขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะราคามีแนวโน้มดิ่งต่ำลงอีก 70 บาทต่อกิโลกรัม จึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะรอราคา เนื่องจากต้องมีต้นทุนเป็นค่าอาหารสุกรอีก อยากจะวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องราคาอาหารสุกร หากราคาอาหารสุกรยังแพงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องหยุดเลี้ยงสุกรไปก่อน” นายธีรวัฒน์ กล่าว.