เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งมีอดีตนักร้องเจ้าของเพลงดัง “พบรักเมื่อรถแซง” ตาบอดสนิท ใช้ชีวิตแสนเข็ญ จึงเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 4 ต.มาบไผ่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พบเป็นบ้านชั้นเดียวก่อด้วยอิฐหลังย่อม ๆ เมื่อไปถึงพบกับ นายสุพิณ จันทร์ทรัพย์ อายุ 75 ปี หรือเมื่อหลายสิบปีก่อนมิตรรักแฟนเพลงรู้จักกันดีในชื่อ “ศักดิ์สิทธิ์ สู้เสรี” กำลังใช้จอบเล็ก ๆ นั่งถอนหญ้า และพรวนดินอยู่บริเวณข้างบ้าน จึงแนะนำตัวพร้อมขออนุญาตพูดคุย บันทึกภาพรวมทั้งคลิปวิดีโอ ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอม ก่อนหยุดพรวนดิน ลุกขึ้นมานั่งพูดคุยด้วยอย่างทุลักทุเล เพราะตาบอดทั้งสองข้าง มีเพียงไม้เท้าอันเดียวนำทาง

สอบถาม นายสุพิณ เปิดเผยว่า เป็นคนตำบลหนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี หลังบวชเรียนทดแทนให้กับพ่อแม่ ก็เริ่มต้นชีวิตวัยหนุ่มด้วยการไปสมัครเป็นนักร้องเชียร์รำวงให้กับคณะดาราน้อย อยู่มาหลายปีก็รู้สึกเริ่มเบื่อ จึงลาออกไปรับจ้างขับรถสิบล้ออยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่วัยเด็กและมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง จึงไปสมัครเป็นนักร้องกับวงดนตรีของครูเพลง ฉลอง ภู่สว่าง ในยุคเดียวกับ คัมภีร์ แสงทอง อดีตนักร้องชื่อดังอีกคน ซึ่งก็ดูว่าน่าจะไปได้ดี แต่นานวันเข้าก็มีปัญหากับนักร้องในวงถึงขั้นชกต่อยกัน ถึงขนาดเรียกว่าใครพลาดก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เลยต้องออกมาจากวงและมาเจอกับ ศรีนวล นภดล ก็ชักชวนตนไปอยู่กับวงดนตรีคณะดนตรี พิณ ศรีวิชัย ที่กำลังพอมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้น ซึ่งก็ได้รับความเมตตาให้อยู่ประจำคณะ โดยมีหน้าที่ขับรถให้วง รวมทั้งร้องเพลงไปด้วย ซึ่งขณะเดียวกันตนก็แต่งเพลงเขียนเพลงเองไว้หลายสิบเพลงด้วย เช่น เพลงใครสอนเธอให้เกลียดคนจน, พบรักเมื่อรถแซง ทำให้ถูกใจและเป็นที่ชื่นชอบของหัวหน้าคณะ จึงสนับสนุนให้ได้บันทึกเสียงเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2519 และปล่อยเพลงออกไปตามสถานีวิทยุต่าง ๆ ซึ่งก็ได้รับความสนใจและการต้อนรับจากแฟนเพลงเป็นอย่างดี ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดัง พร้อมทั้งรับงานและเดินสายทำการแสดงไปทั่วประเทศอยู่ระยะหนึ่ง

นายสุพิณ เผยอีกว่า กระทั่งได้ไปทำการแสดงที่วัดบ้านไร่ อ.พานทอง และพบรักกับภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีบุตรสาว 1 คน ปัจจุบันมีงานทำแล้ว ซึ่งหลังจากแต่งงานมีบุตร ตนก็หยุดใช้ชีวิตเดินสายกับวงดนตรี โดยหันมาเอาดีด้วยการเป็นนักร้องตามร้านอาหารในชลบุรี รวมทั้งเป็นนักดนตรีด้วย โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก อ.เกื้อ อุตสาหกานนท์ ได้มอบเมโลเดียน ให้มาหนึ่งตัว จึงมาศึกษาฝึกฝนด้วยตนเอง กระทั่งสามารถเล่นได้และขยับไปเล่นอีเลคโทน ซึ่งก็มีรายได้ดี เนื่องจากมีลูกค้าทั้งชายหญิงชื่นชอบการร้องเพลงของตน และให้รางวัลเป็นสินน้ำใจทุกคืน ทำให้สามารถปลูกบ้านหลังย่อม ๆ ที่ได้พักอาศัยอยู่ทุกวันนี้

นายสุพิณ เผยว่า กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2550 ดวงตาเริ่มมีปัญหา เริ่มด้วยเห็นแบบฝ้าฟาง จึงรีบไปพบแพทย์หลายแห่งเพื่อรักษาแต่ก็ไม่ดีขึ้น กระทั่งบอดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งสองข้าง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่กับภรรยาและลูกสาว เพียงแต่ลูกสาวแต่งงานไปมีครอบครัว เลยแยกไปอยู่คนละหลัง ภรรยาก็ไปปลูกร้านขายของโชห่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ไม่ห่างกันมากนัก ส่วนตนมีไม้เท้าเป็นผู้นำคลำทางในการเดินอยู่ในบ้านและบริเวณบ้าน รวมทั้งมีวิทยุทรานซิสเตอร์เป็นเพื่อนคลายเหงาและบอกเวลา ส่วนโทรศัพท์ก็ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่ตาบอด เพราะมองไม่เห็น รายได้ก็มีบัตรผู้พิการเดือนละ 1,000 บาท รวมไปถึงบุตรสาวก็ให้ใช้จ่ายอีกเดือนละ 1 พันบาท ซึ่งตนก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เนื่องจากทุกวันภรรยาจะเป็นผู้หุงหานำข้าวปลามาส่งทุกวัน ส่วนที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ อยากมองเห็นอีกสักครั้ง แต่ก็ไม่อยากจะไปรบกวนใคร เพียงแต่ต้องการให้พาไปพบแพทย์ที่เก่ง ๆ เท่านั้น

ก่อนจากกัน นายสุพิณ ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ขอขอบคุณผู้สื่อข่าวที่ยังให้ความสำคัญกับชีวิตของตนด้วยการนำไปนำเสนอสู่สาธารณชน และต้องขอขอบคุณ คุณพิณ ศรีวิชัย อดีตเจ้าของวงดนตรี รวมไปถึง คัมภีร์ แสงทอง, โฆษิต นพคุณ พร้อมด้วย วิศนุกร นครปฐม อดีตพระเอกละครคณะเกศทิพย์ และเพื่อนักร้องดังในอดีต ที่ได้เคยแวะมาเยี่ยมสอบถามสารทุกข์สุกดิบให้กำลังใจเป็นอย่างดี ทำให้มีกำลังใจมากยิ่งขึ้น โดยก่อนผู้สื่อข่าวจะลา อดีตนักร้องชื่อดังยังขับร้องเพลง คนละวันกัน ที่แต่งไว้ล่าสุดให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างอารมณ์ดีด้วย