นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 เห็นชอบปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่ 33.50 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกดีเซลใหม่นี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับลดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สามหลังจากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรับลดไปแล้ว 2 ครั้งรวม 1 บาท/ลิตร 

ทั้งนี้ สาเหตุการปรับลดครั้งนี้ เป็นผลมาจากค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลาดโลกโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลลดลงแต่ไม่มากนัก และยังมีปัจจัยผันผวนอีกหลายด้านที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-15 มีนาคม 2566 พบว่าราคาน้ำมันดีเซลเดือนมกราคมเฉลี่ยอยู่ที่ 113.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เดือนกุมภาพันธ์ 103.61 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และวันที่ 1-15 มีนาคม เฉลี่ย 102.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ประกอบกับคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม-20 กรกฎาคม 2566 และสถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มดีขึ้นมีฐานะติดลบต่ำกว่าหลักแสนล้านบาทแล้ว จึงเห็นควรปรับลดราคาขายปลีกดีเซลให้กับประชาชน ซึ่งนอกจากจะช่วยประคับประคองค่าครองชีพประชาชนแล้ว ยังมีส่วนช่วยไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความผันผวนของราคาน้ำมันยังคงมีหลากหลายปัจจัย

โดยจะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์-15 มีนาคม 2566 หลายด้านที่ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงผันผวนปรับขึ้นลง อาทิ ประเทศรัสเซียปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเดือนมีนาคมนี้ หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนหลังเปิดประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก ความผันผวนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และกรณีรัฐบาลสหรัฐ สั่งปิดกิจการของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB) รวมทั้งสถานะการเงินที่ต้องการความช่วยเหลือของธนาคารเครดิต สวิส ที่เป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 12 มีนาคม 2566 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ติดลบ 99,662 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน ติดลบ 53,290 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 46,372 ล้านบาท.