เมื่อวันที่ 24 มี.ค. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้า การตรวจสอบเส้นทางการเงิน และธุรกิจของเครือข่าย พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือ “สารวัตรซัว” อดีต สว.ฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง ที่มีส่วนพัวพันกับเว็บไซต์รับพนัน ว่า หลังเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมเครือข่ายดังกล่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ไปแล้วนั้น ทางตำรวจสอบสวนกลางยังคงเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ ซึ่งเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา ทางตำรวจกองปราบฯ ได้เปิดปฏิบัติการเป็นครั้งที่ 2 กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 9 จุด ในพื้น กทม.และ จ.จันทบุรี ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง โน้ตบุ๊ก 4 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 7 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง หน้าจอคอมพิวเตอร์  2 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่องฮาร์ดดิสก์พกพา 1 อัน ซิมทรูโทรศัพท์ บัตรเอทีเอ็ม 2 ใบ และ เซิฟเวอร์ กล้องวงจรปิด 1 เครื่อง พร้อมเชิญตัวบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องมาซักถาม

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์ว่ามีบุคคลที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องประมาณกว่า 150 คน 60 องค์กร หลังจากสืบสวนสอบสวนตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างละเอียดจนเริ่มมีความแน่ชัดมากขึ้น ทำให้สามารถจำกัดวงแคบขึ้น โดยคาดว่าน่าจะมีบุคคลเกี่ยวข้องประมาณ 20-30 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทดังกล่าว ในลักษณะถือหุ้นไขว้ และ กลุ่มบุคคลที่มีรายได้ไม่มากแต่กลับถือครองทรัพย์สิน รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์มากผิดปกติ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมายอมรับกลางงานแถลงว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อให้เลิกหยุดแฉนั้น ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางจะต้องพิจารณาก่อนว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่ นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินจากการกระทำความผิด อาจสุ่มเสี่ยงที่จะต้องถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน

ส่วนกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ ขอให้หยุดแฉคดีสารวัตรซัวนั้น จะต้องรอให้ทาง นายษิทรา นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบว่ามีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้าน ให้กับบุตรของ นายชูวิทย์ ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกันว่ามาจากบุคคลใดและเป็นเงินที่มาจากการกระทำผิดกฏหมายหรือไม่