เมื่อวันที่ 17 พ.ค. นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกฯ กล่าวในงานเสวนา เรื่อง “อนาคตประเทศไทย จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย” จัดโดยสมาคมวารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ และสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ตอนหนึ่งว่า สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีความพยายามที่จะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแข่งกับเสียงข้างมาก ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะสร้างวิกฤติให้ประเทศ ขณะที่ท่าทีของ ส.ว. ที่แสดงความชัดเจนต่อชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล นั้น มีประเด็นที่ตนขอพูดคือ ส.ว. รู้หน้าไม่รู้ใจ ช่วงที่ตนทำหน้าที่และอยู่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นผู้จัดบัญชีรายชื่อ ส.ว. มีคนที่มาหาตนเพื่อฝากชื่อ ซึ่งตนรับฝากเพราะเห็นว่าเป็นพรรคพวกกัน และมี 2 คน ที่ได้รับตำแหน่ง

นายไพศาล กล่าวด้วยว่า หลังการรับรองผลเลือกตั้ง ก่อนที่ ส.ส. จะทำหน้าที่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศ ดังนั้นหาก ส.ว. ยึดมั่นในคำถวายสัตย์ปฏิญาณ บ้านเมืองจะผ่านพ้น และในสัญญาณที่เกิดขึ้น

“ส.ว. ส่วนหนึ่งรู้ชะตากรรม มีอย่างน้อย 75 คน จะโหวตให้พรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ เพื่อเคารพฉันทามติของประชาชน ทั้งนี้ผมทราบว่า มีการเรียก ส.ว. ไปประชุมเมื่อค่ำวันหนึ่ง โดยนายพิธา มีความชอบธรรมที่จะตั้งรัฐบาล แต่ต้องพิจารณาในคดีถือหุ้นสื่อ ที่หลายฝ่ายให้พิจารณาตามกฎหมาย ผมมองว่าตามกฎหมายมี 2 มุม หากคดีของนายพิธา ขึ้นสู่ศาลปกครองสูงสุด เชื่อว่าจะรอด เพราะศาลได้วางบรรทัดฐานในการพิจารณาไว้แล้ว คือ ต้องดูจำนวนหุ้นที่ถือว่ามีนัยสำคัญกับการบริหารหรือไม่ และประกอบธุรกิจสื่อจริงหรือไม่ที่สำคัญ คือ ไอทีวีหยุดกิจการแล้ว ส่วนหุ้นที่ถือเท่ากับอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ดังนั้นหากไปสู่ศาลยุติธรรม นายพิธาได้เข้าไปเลือกในสภาแน่”

นายไพศาล กล่าวด้วยว่า หาก กกต. รับรองความเป็น ส.ส. ของนายพิธา เรื่องถือหุ้นสื่อจะต้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมี 9 คน ดังนั้นนายพิธา อาจไม่มีโอกาสไปเลือกในสภา ซึ่งจะทำให้พรรคเพื่อไทย มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรรัฐบาล แบบไม่ต้องลงมติเลือกถึง 2 ครั้ง และเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย จะถูกเสนอชื่อ ดังนั้นความเป็นไปของนายพิธา จะขึ้นอยู่กับเวลาที่ กกต. วินิจฉัย ส่วนตัวเชื่อว่า กกต. จะรับรองเร็ว เพื่อให้เรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ