เพราะเคยผ่านชีวิตที่ลำบาก ตูมตาม ยุทธนา จึงอินถ่ายทอดชีวิตที่ต้องมาหาเช้ากินค่ำในเมืองหลวง ผ่านละครดอกหญ้าป่าคอนกรีตได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งตูมตามได้แชร์ประสบการณ์ช่วงชีวิตที่ยากลำบาก ต้องกู้เงิน กยศ. และหารายได้เสริมด้วยการเป็นเด็กล้างจาน ค่าแรงวันละ 150 บาท ผ่านรายการวันบันเทิงTalk แบบจัดเต็ม

“ผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ใช้เงินเดือนละ 4,000 บาท จริงๆ มี 6,000 บาท แต่ 2,000 บาท มาจากการกู้ยืม กยศ. มา เพราะว่ามันไม่พอจริงๆ แต่กู้มาก็คือเอาไปจ่ายที่จำเป็น คือที่พักอาศัย เหลือ 4,000 บาท ก็ลองจัดการว่าจะทำยังไงให้เงิน 100 บาทอยู่ได้จริง ก็เดินไปถามป้าที่ร้านข้าวแกงว่า ป้าครับผมจะขอซื้อกับข้าว 1 ถุง แบ่งกินได้ 3 มื้อ ซึ่งได้มาในราคา 30 บาท ขอซื้อข้าว 20 บาท เพื่อแบ่งให้ได้ 3 มื้อ ซึ่งป้าเขาก็ใจดีตักให้ เท่ากับว่า 1 วัน ผมใช้เงิน 50 บาทในการกิน ตอนนั้นสนุกมากกับการบริหารจัดการเงิน 100 บาท ผมเติบโตมากับครอบครัว เรารู้ดีในความลำบากทุกสเต็ป รู้ดีว่าช่วงนี้พ่อแม่ไม่มีเงิน ก็ได้ไปทำงานรับจ้างล้างจาน เพราะว่าหน้าที่ในบ้านของผมคือล้างจาน ซึ่งผมล้างจานเก่งมาก แม่มอบหมายหน้าที่นี้ให้เราเป็นหลัก ผมเคยพูดเล่นกับแม่ด้วยว่า ใช้ผมล้างจานจังเลย ซึ่งแม่ก็บอกว่าเผื่อวันหนึ่งไม่มีงานไปรับจ้างล้างจานก็มีเงินนะ ซึ่งมันจริงนะ ก็โทรฯ ไปบอกแม่ว่า หาเงินจากการล้างจานได้จริงๆ นะ ซึ่งงานล้างจานผมทำวันหนึ่ง 8 ชั่วโมง แทบไม่ได้หยุด เพราะลูกค้าก็กินตลอด ผมเหนื่อยสายตัวแทบขาด หัวถึงหมอนแล้วหลับ ตื่นไปไม่ทันสอบ ผมก็ต้องดร็อปเรียน ที่เล่าเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตผม เข้าใจในชนชั้นแรงงานมันได้เงินน้อย ตอนนั้นผมทำงานได้เงินประมาณวันละ 150 บาท ยิ่งผมทำงานพาร์ทไทม์ มันก็ได้น้อยอยู่แล้ว”

“ผมกลัวว่าวันหนึ่งที่เราประสบความสำเร็จ วันหนึ่งที่เราเดินไปถึงฝันแล้ว กลัวมากกับการหันหลังมาแล้วไม่มีใครร่วมชื่นชมแล้วจริงๆ นี่คือประเด็นที่คนเข้ามาตามหาฝัน แล้วบางคนพ่ายแพ้ก็มี บางคนยังสู้อยู่ ในขณะที่เราสู้ เราประจันหน้ากับปัญหาตลอดเวลา จนเราลืมที่จะหันไปดูที่บ้าน เราต้องการความสำเร็จไปถึงไหนเพื่ออะไร มันมีโอกาสเกิดขึ้นเยอะมากครับ กับการที่เราวิ่งๆ อยู่ตามหาฝันอยู่ พอได้ฝันแล้วไม่เหลือใครเลยครับ เพราะเวลามันผ่านไปเสมอ พ่อแม่รอเราไม่ได้ครับ วันหนึ่งผมมีกิจวัตรประจำวัน ตื่นตี 5 ไปถ่ายละคร กลับมาเที่ยงคืน พ่อแม่อยู่บ้านด้วย แต่ผมเจอแค่ 10 นาที แล้วมีวันหนึ่งผมเดินไปเปิดประตูและเห็นหน้าแม่แล้วเกิดคำถาม ทำไมจำไม่ได้ ทำไมไม่ใช่แม่อย่างที่เราจำได้ ทำไมแม่ดูแก่ดูโทรม ทำไมเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานมากเลย ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน ผมเลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว อย่างน้อยผมต้องคุยกับเขาให้มากขึ้น ให้ความสำคัญกับพ่อแม่มากขึ้น ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ผมก็มาย้อนถามตัวเองว่า ที่ทำทุกวันนี้ทำไปเพื่ออะไร”

“ผมบอกตัวเองว่าทำเพื่อพ่อแม่ แต่ก็ไม่เคยทำเพื่อพ่อแม่จริงๆ เพราะเขาต้องการเวลากับเรา และผมก็ได้เห็นคำตอบว่า ตอนนี้เราทำมากไปแล้ว เวลาตั้งหลายปี ผมไม่ได้คุยกับคนในครอบครัวเลย ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง ไม่ได้ถามเขาตรงๆ ไม่ได้กอดกัน หอมกันด้วยความคิดถึงจริงๆ เลย พ่อแม่เหงาไหม มันเหมือนอยู่ด้วยกันแต่ทิ้งกัน ผมเลยปฏิญาณตนว่าจะไปทำงาน เฉพาะที่มันตอบโจทย์เรื่องของความสุขของผมได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเงินเยอะหรือเปล่า ไม่ใช่ว่างานนี้ดังหรือเปล่า มันไม่สามารถกลับมาได้ยินเสียง ไม่สามารถกลับมาได้กอดอีกครั้ง มันไม่สามารถกลับมาทำอะไรได้อีกเลยถ้ามันเสียไปแล้ว อย่าชะล่าใจครับ ชีวิตมีอยู่ 2 แบบ คือมันมีเงื่อนไขของสิ่งที่แก้ไขได้ กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาชีวิตมาแขวนไว้กับเวลา วันนี้โอกาสในการได้เจอใครสักคนหนึ่ง โอกาสในการคุยกับใครสักคนหนึ่ง โอกาสในการร่วมงานกับใครสักคนหนึ่ง ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างกับใครสักคนหนึ่ง มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ สิ่งนี้เลยเป็นเหมือนไฟกระตุ้นเตือนให้ผมใช้แรงให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ในทุกวัน เพราะผมกลัวจะไม่ได้มีโอกาสเล่นกับพวกเขาแล้ว”