เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี“คนไทยกับการเมืองไทยหลังจากได้ประธานสภา” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,078 คน สำรวจระหว่างวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2566 พบว่า ความเห็นต่อการเมืองไทยในช่วงนี้ คือ อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่โดยเร็ว ร้อยละ 71.65

โดยมองว่าปัญหาและอุปสรรคของ “รัฐบาลใหม่” คือ การจัดสรรตำแหน่งไม่ลงตัว มุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ร้อยละ 68.32 ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ควรคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าของพรรคการเมือง ร้อยละ 78.52 นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 56.12 คาดว่า “การเลือกนายกรัฐมนตรี” ไม่น่าจะราบรื่น และหากได้รัฐบาลใหม่แล้ว ก็อยากให้เร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ ร้อยละ 77.35 ส่วนความในใจของประชาชนที่อยากบอก “รัฐบาลใหม่” คือ ขอให้ตั้งใจทำงาน ร่วมมือกันพัฒนาประเทศ สร้างผลงานให้เป็นรูปธรรม

ร้อยละ 43.05 ผลโพลชี้ให้เห็นว่าช่วงนี้ประชาชนติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด แม้จะเบื่อหน่ายกับระบบที่กว่าจะได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่ แต่ก็ยังเฝ้ารอและจับตามองว่าแต่ละพรรคการเมืองจะเคลื่อนไหวส่งสัญญาณอย่างไรต่อไป และมองว่าจากการเลือกประธานสภายังคงเป็นการเมืองแบบเก่าที่เน้นเล่นเกมการเมือง เสียงของประชาชนจึงบอกผ่านผลโพลว่า “อย่ามุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน ให้ตั้งใจทำงาน เร่งแก้ปัญหาปากท้องโดยเร็ว”

จากผลโพลสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนมากมีความสนใจและตื่นรู้การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง โดยเฉพาะห้วงเวลาหลังการเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่การโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร (ประธานรัฐสภา),การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของที่ประชุมร่วมกันของทั้งสองสภา (สภาผู้แทนราษฎร + วุฒิสภา = รัฐสภา) และอาจหมายรวมถึงความสนใจของคนไทยต่อการจัดตั้งรัฐบาล และใครพรรคใดจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดบ้าง ประเด็นเหล่านี้จึงสอดคล้องกับความคาดหวังของคนไทยและนักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ผลโพลดังกล่าวยังชี้ให้เห็นทิศทางและแนวโน้มทางการเมืองว่าด้วยเรื่องการยื้อแย่งอำนาจและความพยายามในการเจรจาต่อรอง ในขณะที่ภาคประชาชนนั้นต้องการให้รัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ควรตระหนักและคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและพรรคการเมืองของตนเอง