เมื่อวันที่ 15 ก.ค. เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีที่จะมีการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ซึ่งมีบางฝ่ายกังวลว่า หากยังเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ ผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพียงชื่อเดียว อาจจะขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่กำหนดว่าไม่อาจเสนอชื่อตัวบุคคลตามญัตติที่ตกไปในครั้งแรกได้ ว่า การเสนอชื่อบุคคลในการโหวตเลือกนายกฯ จะเสนอกี่คนก็ได้ ไม่มีข้อบังคับมากำหนดไว้ ดังนั้นหากมีการเสนอชื่อใหม่อย่างเช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตชิงตำแหน่งนายกฯ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็สามารถทำได้ หรือจะเสนอชื่อนายพิธาอีกครั้ง ก็ทำได้เช่นกัน เพราะข้อบังคับที่นำมาอ้างถึงดังกล่าวเป็นข้อบังคับที่นำมาใช้ในที่ประชุม เป็นเรื่องที่ใช้กับการประชุม ซึ่งเป็นคนละหมวดกับการโหวตเลือกนายกฯ

“เวลาอ่านหนังสือต้องอ่านทั้งเล่ม ไม่ใช่อ่านข้อเดียวแล้วเอามาคุย ถ้าอ่านข้อเดียวก็จะเจอแค่ข้อบังคับที่ 41 ที่บอกว่าญัตติใดที่ตกไปแล้ว จะนำมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ เว้นแต่ประธานรัฐสภาจะอนุญาต ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาว่าจะอนุญาตหรือไม่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ว่าการประชุมรัฐสภาในวันที่ 19 ก.ค. นี้ จะเกิดข้อถกเถียงจนไม่สามารถโหวตนายกฯ ได้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ถ้าตนเป็นประธานรัฐสภา จะไม่ให้อภิปรายแล้ว เพราะได้อภิปรายไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าให้อภิปรายก็มีเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ อย่างการอภิปรายในครั้งแรก แทนที่จะเป็นเรื่องของการโหวตนายกฯ กลับกลายเป็นเรื่องของการพูดคุยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเรื่องของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เคยมีการแก้มาแล้วหลายครั้ง ขอให้ไปศึกษาดูบ้าง เมื่อถามว่าหากการโหวตรอบ 2 แล้วยังไม่ได้ตัวนายกฯ 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การโหวตรอบ 2 ยังสามารถเสนอชื่อนายพิธาได้ ซึ่งก็มีการเว้นช่วงจากวันที่ 13 ก.ค. ถึงวันที่ 19 ก.ค. เพื่อให้มีเวลาในการประสาน แต่โอกาสของพรรคก้าวไกล มีไม่มาก เพราะส่วนใหญ่ไปปิดกั้นตัวเอง เรื่องอะไรก็ไม่ได้         

“ไปยกมาตรฐานกันสูงเอง เช่น กรณีมี 312 เสียง แล้วไปติดต่อเอาพรรคชาติพัฒนากล้ามาเพิ่มเติม แต่พอด้อมส้มรู้เรื่องและพูดมาหน่อย ก็ถอยแล้ว ไปฟังเสียงไอ้พวกนี้ทำไม พวกนี้ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับพรรคก้าวไกล ไปฟังใครก็ไม่รู้” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์​ กล่าว

ต่อข้อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ 8 พรรคร่วมจะเปลี่ยนชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ไปเป็นพรรคเพื่อไทย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ยัง ในการโหวตวันที่ 19 ก.ค. พรรคเพื่อไทยจะไม่แข่งด้วย แต่ยังเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลเต็มที่ เพราะตามเอ็มโอยู เปิดสิทธิให้พรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ ทุกพรรคคิดเช่นนี้ จะหนุนให้เต็มที่ จะ 2-4 ครั้งก็ได้ ก็แล้วแต่ ส่วนถ้าวันที่ 19 ก.ค. ยังไม่ได้ตัวนายกฯ อีก ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยต้องมาคุยกันว่า พรรคก้าวไกลจะถอยหรือไม่ ซึ่งถ้าพรรคก้าวไกลถอย พรรคเพื่อไทยจะได้เสนอชื่อขึ้นมาแทน ไม่ว่าจะเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อย่างไรก็ตาม แม้จะเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย แต่ขั้นต้นพรรคเพื่อไทย ก็ต้องเอาพรรคก้าวไกลไว้ เพราะพูดกันมาตลอด จะเสียคำพูดได้อย่างไร ถ้าเสียคำพูด ก็คบกันไม่ได้ เพื่อไทย ก้าวไกลต้องผูกกันไปเรื่อยๆ 

เมื่อถามว่า กรณีที่เกิดการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล ถ้าพรรคเพื่อไทยไปเป็นรัฐบาล แล้วก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน จุดยื่นของพรรคเสรีรวมไทย อยู่ตรงไหน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนพูดมาหลายครั้งแล้วว่าไม่เอาเผด็จการ ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่ พล.อ.ประวิตร ตนรับได้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่ ตนก็รวมได้หมด และถึง พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ ถ้าเขาไม่เอารวมไทยสร้างชาติ ตนก็รวมได้ ตนไม่ใช่คนปิดกั้นตัวเอง เพราะคนปฏิวัติคือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ พล.อ.ประวิตร แค่เชิญมาร่วมรัฐบาลเฉยๆ ไม่ใช่คนปฏิวัติ.