เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องโรคฝีดาษลิง โดยมีใจความว่า “ฝีดาษลิงในไทยอาจหนักกว่าทั่วโลก…”

ข้อมูลจาก TNN เมื่อวานนี้ชี้ให้เห็นว่าจำนวนเคสในไทยจนถึงปัจจุบันมีถึง 170 รายแล้ว หากวิเคราะห์ตาม Ourworldindata ซึ่งใช้ข้อมูลของไทยจนถึง 12 ก.ค. ซึ่งมีรายงานอยู่ 119 ราย (น้อยกว่าตัวเลขปัจจุบัน) พบว่า ตั้งแต่เมษายนปีนี้เป็นต้นมา ค่าเฉลี่ยรายสัปดาห์ของจำนวนเคสต่อประชากรล้านคนของไทยเรานั้นสูงมากกว่าทวีปอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกด้วย

ยิ่งหากจำนวนเคสใหม่ที่เกิดขึ้นในไทย เป็นไปในลักษณะเช่นนี้ต่อไปอีกระยะ อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดการระบาดที่ขยายวงมากขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิมได้

เคยวิเคราะห์และเตือนไว้ตั้งแต่ต้นว่า ลักษณะธรรมชาติของโรคของฝีดาษลิงนั้นมีความคล้ายคลึงกับเอชไอวี ทั้งในเรื่องเพศสัมพันธ์ การสัมผัสใกล้ชิดทางร่างกาย สิ่งคัดหลั่ง ละอองฝอยน้ำมูกน้ำลาย รวมถึงมีโอกาสแพร่จากมารดาสู่ทารกในครรภ์ดังรายงานที่พบในแอฟริกาด้วย นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยงหลักยังมีความคล้ายคลึงกับเอชไอวีตอนระบาดแรกๆ ด้วย

ณ จุดนี้ จึงยังประเมินได้ว่า ควรมีมาตรการควบคุมป้องกันโรคฝีดาษลิงที่เข้มข้นจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้ กระตุ้นเตือน ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มชายรักชาย คนที่มีอาชีพในอุตสาหกรรมบริการ แหล่งท่องเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความระมัดระวังในการใช้ชีวิต ป้องกันตัว และคอยสังเกตสังกาอาการผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อฝีดาษลิง ทั้งตนเอง คนใกล้ชิด หรือคนที่มาใช้บริการ

ยิ่งในช่วงเวลาของการโปรโมตการท่องเที่ยวและบริการ สถานประกอบกิจการต่างๆ ควรให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพมากขึ้นกว่าในอดีต เพราะภัยคุกคามสุขภาพมีความหลากหลาย ทั้งโควิด ฝีดาษลิง และอื่นๆ หากปล่อยปละละเลย เวลาระบาดขึ้นมา จะคุมได้ยาก