เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องจากแฟนเพจเฟซบุ๊ก Framsook Lek Lek ซึ่งเป็นเพจของ “ทราย เบญจพร” หรือ “ทราย ฟาร์มสุขเล็กๆ” บล็อกเกอร์สาวชื่อดัง ซึ่งเธอได้ออกมาโพสต์เล่าเรื่องราวกรณีถูกคนในโลกออนไลน์ แชร์ภาพบิกินีริมทะเลของเธอ ไปเขียนข้อความบูลลี่ คุกคามทางเพศ และมีคนเข้ามาคอมเมนต์กันสนุกปาก จนทำให้เจ้าตัวตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดี และผู้ที่กระทำผิดต้องชดใช้ค่าเสียหาย โดยเธอได้เขียนข้อความว่า

“วันหนึ่งมีคนทักเข้ามาในเพจว่า มีคนแชร์รูปทรายไปในกลุ่มๆ หนึ่ง ข้อความก็อย่างที่เห็นเลยค่ะ ทรายได้แต่สงสัยว่าเราไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจเหรอ การไปเที่ยวทะเลแล้วใส่ชุดว่ายน้ำมันผิดกาลเทศะ? หรือว่าแค่เพราะเราอ้วนจึงถูกรังเกียจ ตอนแรกคิดว่าอยากเข้าไปโต้ตอบพวกเขาเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราต้องมีความคิดต่ำๆ ขนาดไหนถึงจะสามารถพิมพ์ข้อความแบบนั้นได้ เราเลยปกป้องตัวเองด้วยวิธีทางกฎหมาย

ทรายไปศาลทุกครั้งทั้งๆ ที่แค่ส่งทนายไปก็ได้ ทรายไปเพราะอยากเจอคู่กรณีอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาพูดกับเราแบบนั้น อยากรู้ว่าถ้าเขาเจอหน้าเรา จะขอโทษมั้ย และก็เป็นไปตามคาด ไม่มีคำเหล่านั้นหลุดออกมา ทรายเรียกไป 2 แสนซึ่งเป็นโทษสูงสุด ทางนั้นยื่นมาว่าขอให้แค่ 3 หมื่น เพราะเขาเป็นแค่พนักงานโรงงาน เงินเดือนแค่ 15,000 แน่นอนว่าทรายไม่ยอม ไม่ใช่เพราะมันน้อยไปหรอกนะ แต่เพราะมันดูง่ายไป

เมื่อทรายไม่ยอมผู้พิพากษาก็เรียกไปคุยหน้าบัลลังก์ ทรายบอกท่านว่างานเราใช้ชื่อเสียงและการกระทำของเขาอาจทำให้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการจ้างงานได้ ท่านผู้พิพากษาแนะนำว่าให้ไปไกล่เกลี่ยกันอีกทีและคนที่จะเข้ามาจ้างงานก็น่าจะมีวิจารณญาณว่าเราไม่ใช่คนผิดเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำ ประโยคนี้ทำเราใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย สุดท้ายเราเลยยื่นตัวเลขไปว่า 50,000 งวดเดียวหรือ 70,000 แบบทยอยจ่ายแล้วเราก็จะถอนฟ้องให้ แต่ทางนั้นก็พูดมาอย่างเดียวว่าตอนนี้ไม่มี โอเค งั้นเราให้เวลาอีก 1 เดือนแล้วมาเจอกันครั้งหน้าซึ่งเป็นนัดไกล่เกลี่ย

จนมาถึงวันนัดไกล่เกลี่ย เริ่มจากเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยเรียกทางเราเข้าไปก่อน ท่านพูดคุยให้คำปรึกษากับเราซึ่งดีมาก ท่านบอกว่าถ้าจบเร็วจะเป็นผลดีต่อเรานะ ทั้งเรื่องเวลาและชื่อเสียงด้วย เราเลยยื่นไปว่าถ้า 40,000 ได้ ทางเราจะถอนฟ้องให้ (คดีนี้เป็นอาญานะคะ) จากนั้นเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยก็เรียกอีกฝ่ายเข้าไปคุย (เป็นการสลับกันเข้าไป) ประมาณ 10 นาที มีเจ้าหน้าที่มาตามเราและทนายเข้าไปในห้องเพื่อคุยกับคู่กรณีแบบเผชิญหน้า

เจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยแจ้งว่าทางนั้นมีแค่ 35,000 เพราะมาจากโคราช มีเงินอยู่เท่านี้และเงินจำนวนนี้คือเงินของพ่อแม่ไม่ใช่เงินของลูกชายผู้กระทำผิดเพราะเขาไม่มี อยากให้ถอนฟ้องอยากให้เรื่องจบ จะให้พ่อแม่มาไหว้ขอโทษแทนก็ยอม เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมเราถึงยอมให้เรื่องจบด้วยเงิน 35,000 อันที่จริงมันอาจจะเป็นแค่เทคนิคในการต่อรองหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ แต่การจะให้คนอายุจะ 70 มาขอโทษเราทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเราว่ามันไม่ควรจริงๆ

ส่วนตัวคนกระทำผิดเราบอกให้โพสต์ขอโทษลงโซเชียลกลับตอบเรามาว่า แค่ขอโทษซึ่งหน้าไม่ได้เหรอ เราบอกไม่ได้ทีคุณยังแชร์เรื่องเราไปโพสต์บนโซเชียลเลยและต้องแท็กเพจกับเฟซเรา ห้ามลบด้วย เขาก็แค่โพสต์ตามที่ทุกคนเห็นและไม่ได้เอ่ยขอโทษต่อหน้าเราสักคำ

ทรายใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 8 เดือนในการดำเนินคดีไปศาลทั้งหมด 3 ครั้ง อ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำๆ แบบนับไม่ถ้วนและคิดว่าเป็นเพราะเราอ้วนแค่นั้นเองเหรอ เรื่องนี้มันมีผลกระทบต่อจิตใจเรามาตลอด ในโลกโซเชียลที่ทุกคนเห็นเราดูเป็นคนมั่นใจและสดใสคือเราต้องพยายามสร้างสิ่งนั้นเพื่อกดทับเรื่องเหล่านี้ไว้

สุดท้ายทรายอยาก “ขอ” ว่า อย่าคอมเมนต์ด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง อย่าให้เขามาหาผลประโยชน์จากความไม่พอใจของเราได้ และที่สำคัญอย่าไปว่าพ่อแม่หรือคนรอบข้างเขาเลยพวกเขาไม่ได้ผิดอะไร ทรายชอบประโยคหนึ่งจาก Forrest gump “จงสุภาพกับทุกคน แม้คนนั้นจะหยาบคายกับคุณก็ตาม ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เพราะคุณเป็นคนดี””..

ขอบคุณภาพประกอบ : Framsook Lek Lek