เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ จ.ระยอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ช่วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ว่า พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ยังมีหลายนโยบายที่ทำงานได้ โดยการผลักดันกฎหมายเข้าสภา และยังมีกฎหมายสำคัญสำหรับชาวระยอง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม PRTR และกฎหมายแรงงาน โดยจะเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับประชาชนได้เหมือนเดิม แม้ไม่ 100% แต่หวังว่าจะเป็นการปูทางเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง จะสามารถซื้อใจประชาชนได้มากกว่าเดิม ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่แล้ว อยากจะฝากความหวังอย่างไรบ้างนั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนได้โทรฯ ไปยินดี และยืนยันกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยตัวเอง โดยได้ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และยืนยันว่าวิกฤติของบ้านเมืองไม่ใช่แค่วิกฤติเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และวิกฤติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการศึกษาอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่เกิดขึ้น
“โดยเฉพาะการได้ฟังเสียงของประชาชนจากการลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่ผู้นำคนต่อไปต้องแก้ไข โดยการรวมความคิดของคนในชาติ ให้กลับมาอยู่เป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ และได้ยินนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกฯ ของประชาชน ตนก็อวยพรว่าให้ท่านทำได้อย่างนั้นจริง ๆ และตราบใดที่นายเศรษฐา ยังคำนึงอยู่ว่าอำนาจอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน แล้วทำหน้าที่โดยไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แต่ฟังเสียงของประชาชน เป็นตัวแทนของประชาชนได้เยอะ ๆ เชื่อว่านายเศรษฐาจะทำได้” นายพิธา กล่าว
ส่วนการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐา จะทำงานได้ยากหรือไม่นั้น เพราะมีการจับกันหลายขั้วและอาจจะมีการต่อรองกันสูง นายพิธา กล่าวว่า คิดว่าคงยากเป็นพิเศษ คงต้องดูโผ ครม. ที่ออกมา เท่าที่ติดตามดูในข่าวเห็นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะออกมาสัปดาห์หน้านั้น ตนก็อยากจะฟังในสิ่งที่ตนและนายเศรษฐา เคยพูดร่วมกันในเวทีดีเบตหลาย ๆ เวที ที่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพ และการสมรสเท่าเทียม และสุราก้าวหน้า ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนที่จะมาดูแลกระทรวงต่าง ๆ จะเป็นใคร
นายพิธา กล่าวด้วยว่า หวังว่าการกู้วิกฤติศรัทธาที่มองว่าเป็นวิกฤติที่เข้ามาเพิ่มเติมตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จะเกิดการแก้ไข และเรียกวิกฤติศรัทธา ให้กลับมาสู่การเมืองไทย และส่วนตัวยังยืนยันที่จะทำงานตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม และปราศจากคอร์รัปชั่นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อถามว่า หากดูหน้าตาของรัฐมนตรีตามโผ ครม. แต่ละกระทรวงที่ออกมาตอนนี้แล้ว มีความเป็นห่วงกระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นห่วงทุกกระทรวง เพราะแต่ละกระทรวงมีปัญหาหลายเรื่อง อย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาเรื่องน้ำมันรั่วที่ จ.ระยอง ทั้งในปี 2556 และปี 2565 จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเรื่องเศรษฐกิจก็ต้องทำงานแบบมหภาค ต้องมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งหลายอันก็เป็นห่วงว่าบุคลากรจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะพอต่างพรรคกัน การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ทีละกระทรวง แต่จะทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่กังวล
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากระทรวงกลาโหม โควตาจะเป็นคนนอก ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองนั้น มีความกังวลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การตั้งรัฐมนตรีจะคนในหรือคนนอกไม่ได้สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ และถ้ามีความคิดที่ตรงข้ามกันกับนิยามของความมั่นคง หรือจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติมีความมั่นคง กองทัพจะต้องมีความทันสมัยมากขึ้น เรื่องนี้จึงต้องมีบุคลากรที่เข้าใจ เรื่องนิยามทางความมั่นคงที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 จริงๆ ถึงจะทำได้ และทำอย่างไรให้ตรงกับศรัทธาของประชาชนที่เคยให้ไว้ และความท้าทายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นจะคนในคนนอกก็คงไม่สำคัญ
ส่วนกรณีพรรคอนาคตไกล ที่เตรียมจดทะเบียนพรรคการเมืองนั้น นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตไกล.