เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปวีดีโอเป็นภาพการพูดคุยระหว่างเจ้าของกิจการ ทราบชื่อต่อมา นายประมวล วิเชียรศรี เจ้าของกิจการฉายหนังกลางแปลง “ซูเปอร์กรู๊ท ภาพยนตร์” กับชายหนุ่มที่มีลักษณะพิการทางการพูดและการได้ยิน คือ นายติ๊ก ผึ้งพรม อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน ที่มารับจ้างคอยช่วยงานฉายหนังกลางแปลง โดยนายประมวล ได้เสนอขายรถจักรยานยนต์ให้นายติ๊ก ในราคา 5 บาท แต่นายติ๊กบอกว่า มีเงินเพียง 2 บาท นายประมวลจึงตอบตกลง แต่พอจ่ายเงินจริงๆ นายติ๊กมีเพียง 1 บาท เท่านั้น ซึ่งนายประมวล ก็ยินยอม เพราะจริงๆ แล้ว เจ้าตัวตั้งใจที่จะซื้อให้นายติ๊ก ซึ่งเป็นลูกจ้างและทำงานอยู่ด้วยกันมานานนับสิบปี พร้อมกับระบุข้อความว่า “อยู่ด้วยกันมานาน ซื้อให้ใช้ ดีกว่าเดิน”

ภายหลังจากคลิปวีดีโอ และข้อความดังกล่าว ถูกโพสต์ออกไป ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาชมคลิปดังกล่าวกว่า 5 แสน พร้อมทั้งชื่นชมในความใจดีของนายประมวล ที่มีต่อลูกน้อง เช่น “สรุป 1 บาท 555” , “เป็นกำลังใจให้ครับ การให้ยิ่งใหญ่เสมอขอให้ได้คืนร้อยเท่าพันเท่าครับ” , “สุขทั้งผู้รับและผู้ให้ครับ” , “ได้บุญครับ น้ำตาสิไหล อนุโมทนาบุญนำครับ” เป็นต้น

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นายประมวล วิเชียรศรี อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 5 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยได้เปิดเผยว่า นายติ๊ก มีความพิการลักษณะคล้ายเป็นใบ้ แต่ก็พอพูดได้บ้าง หูก็ไม่ค่อยได้ยิน มาทำงานเป็นลูกจ้างรายวันอยู่กับตนมานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นคนที่ขยันมาก เวลาไม่มีงานฉายหนังก็จะไปรับจ้างทั่วไปตามแต่จะมีคนจ้าง แต่ถ้าไม่มีงานก็จะมาช่วยเก็บกวาดบ้าน เช็ดถูดูแลอุปกรณ์ต่างๆ เวลามาทำงานก็จะขี่รถจักรยานยนต์สภาพเก่ามากๆ มาทำงาน กระทั่งในรอบเดือนที่ผ่านมา ตนสังเกตว่า นายติ๊ก จะเดินมาทำงาน เวลาไปตลาดหรือไปรับจ้างก็จะเดินไป ตนจึงเรียกมาจึงทราบว่ารถเสีย ไม่สามารถซ่อมได้แล้ว เนื่องจากสภาพเก่ามาก ตนจึงเห็นว่านายติ๊กทำงานกับตนมานานแล้ว เป็นคนดี ขยันขันแข็ง จึงได้ซื้อรถ จยย.มือสองให้ไว้ใช้ขับขี่

นายประมวล กล่าวต่อว่า ในวันที่ซื้อก็ได้พานายติ๊กไปด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าจะซื้อให้ เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงถามนายติ๊ก ว่าชอบหรือไม่ ซึ่งนายติ๊ก ก็พยักหน้า เมื่อตนถามว่าจะขายให้ในราคา 5 บาท เอามั๊ย ซึ่งนายติ๊กก็มีสีหน้า งงๆ ตนก็ชิงถามว่ามีเงินเท่าไหร่ นายติ๊ก ก็ตอบว่า 2 บาท ตนจึงตกลงขาย นายติ๊กจึงเดินไปเปิดกระเป๋าเงินดูก็พบว่ามีเงินเพียง 1 บาท เท่านั้น ตนจึงแกล้งพูดว่า 1 บาทก็ขาย พร้อมทั้งเรียกนายติ๊ก ไปยืนถ่ายรูปและมอบทะเบียนรถ ปรากฎว่าหลังจากถ่ายรูปนายติ๊กถึงกับโผเข้ามากอด และร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ จริงๆ แล้วรถคันนี้ตนตั้งใจที่จะซื้อให้นายติ๊กอยู่แล้ว แต่ที่ขายให้นั้นจะได้ทำให้เขาภาคภูมิใจว่าอย่างน้อยเขาก็มีส่วนในการซื้อรถคันดังกล่าว เป็นการให้ความสำคัญแก่ตัวเขาด้วย.