เมื่อวันที่ 14 ก.ย. พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช รองจเรตำรวจ ​ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการ​ตรวจสอบวินัยร้ายแรง​ กรณีเหตุการณ์​อดีต ผกก.โจ้​ ใช้ถุงดำครอบหัว​ผู้ต้องหา​คดีเสพติดจนเสียชีวิต เปิดเผย​ว่า​ วันนี้ได้เชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ​มาให้ปากคำ​ ข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของคลิปและรายละเอียด​ทั้งหมด​ โดยคณะทำงานจะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน​ให้แล้วเสร็จ​ จากนั้นจะเข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหา​ทั้ง​ 7​ คน ภายในเรือนจำ​ ซึ่งจะให้สิทธิทั้งหมดสามารถชี้แจงข้อเท็จจริง​ได้ทุกเรื่อง​ แต่ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย​ ซึ่งในการตรวจสอบครั้งนี้​คณะทำงานจะเน้นไปที่การตรวจสอบเพื่อลงโทษ​ทางวินิย ซึ่งโดยไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา

“บิ๊กใหม่”เผยคดี “ผกก.โจ้”คืบหน้ากว่า80% แฉมีทรัพย์สินเกือบ 600 ล้าน

พล.ต.ท.สราวุฒิ เผยอีกว่า ส่วนประเด็น​ที่มีกระแสข่าว​ว่า​ที่มาของคลิปเกิดจากความขัดแย้งของตำรวจชุดจับกุมยาเสพติด​นั้น​จะยังไม่มีการตรวจสอบในชั้นนี้​ เนื่องจากเป็นคนละประเด็น​ แต่ยืนยันว่าที่มาของคลิปไม่มีผลต่อการพิจารณา​โทษทางวินัย​กับตำรวจทั้ง 7​ นาย ซึ่งโทษทางวินัยจะพิจารณา​เป็นรายบุคคล​ไปตามพยานหลักฐาน​และการกระทำ ส่วนการสอบปากคำในวันนี้​หากทนายตั้มปฏิเสธ​ที่จะบอกที่มาของคลิปดังกล่าว​ก็ไม่เป็นอุปสรรค​ต่อการสอบสวน​ เนื่องจากตำรวจมีขั้นตอนการสอบสวน​ อีกทั้งมีพยานหลักฐาน​อย่างอื่นประกอบ

‘ผกก.โจ้’ยันไม่ได้รีดเงินล้าน-ไม่มีทนายตบทรัพย์ รับช็อกเลยสั่งถอดวงจรปิด

ขณะที่​ทนายตั้ม เดินทางเข้าพบคณะสอบสวน​พร้อม​ทั้งแสดง​ทัมบ์ไดร์ฟ​ที่ภายในบรรจุข้อมูลคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นหลักฐานพฤติกรรม​ของ​ทั้ง 7 คน​ พร้อมยืนยันว่าไม่มีความกังวลใจ​และพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับตำรวจอยู่แล้ว​ ส่วนจะมีการเปิดเผยข้อมูลกับสื่อได้หรือไม่นั้นขอปรึกษา​กับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน

ภายหลังจากให้ปากคำกว่า 2 ชั่วโมง ทนายตั้ม​ เปิดเผยว่า วันนี้ได้นำคลิปที่มีการโพสต์ลงสื่อ​ต่างๆ มามอบให้กับคณะกรรมการ​จเรตำรวจ​ ตรวจสอบในคดีตำรวจ 7 นาย​ ซ้อมทรมาน​ผู้ต้องหาคดียาเสพติด​จนเสียชีวิต​ ก่อนที่จะนำเข้าสู่สำนวนคดี​ เบื้องต้น​ทราบว่าคณะกรรมการ​จเรตำรวจ​ได้ดำเนินการแจ้งข้อหา​ผิดวินัย​ร้ายแรงกับตำรวจทั้ง 7 นายแล้ว​ โดยผู้บัญชาการ​ตำ​ร​วจ​แห่งชาติได้สั่งให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว​ อีกทั้งการสอบปากคำในวันนี้​ได้สอบถามถึงที่มาของคลิปดังกล่าว​ โดยได้ให้ข้อมูลว่ามาจากตำรวจชั้นผู้น้อย​นายหนึ่งและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก​ ซึ่งทางคณะกรรมการ​ก็ไม่ได้กดดันให้บอกรายละเอียดทั้งหมด​ รวมทั้งการเข้าให้ปากคำในวันนี้ถือว่าเป็นปากสุดท้ายในฐานะพยาน​ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้รับงานมาจากใครเพื่อโจมตีอดีต ผกก.โจ้​ หรือกลั่นแกล้ง​ ​เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยเจอและไม่เคยรู้จักกับตำรวจทั้ง 7 นาย เป็นการส่วนตัว​ ส่วนอดีต ผกก.โจ้​ ยอมรับว่าเคยเจอเพียง​ 1 ครั้งเท่านั้น

ขณะเดียวกันคณะกรรมการ​จเรตำรวจ​ เปิดเผยการสอบสวนเบื้องต้นว่า​ มีมติแจ้ง​ผิดข้อหาวินัยร้ายแรงกับตำรวจทั้ง​ 7​ นาย​ ส่วนคลิปที่ได้รับจากทนายตั้ม​นั้นจะนำส่งให้กองพิสูจน์​หลักฐาน​ดำเนินการตรวจพิสูจน์​ตามขั้นตอนการตรวจพิสูจน์​พยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนคดี​​ รวมถึงตรวจสอบวิเคาระห์​คัดแยกเสียงในคลิปดังกล่าว​เพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม​ เช่น​ ว่ามีการเรียกรับเงินหรือไม่​ โดยคาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบพยานหลักฐาน​ทั้งหมดภายในสัปดาห์​นี้​ และในสัปดาห์​หน้าจะเข้าแจ้งข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงกับตำรวจทั้ง 7 ​นาย ที่​เรือนจำคลองเปรม​ เพื่อให้ทั้ง 7 ราย ชี้แจงข้อเท็จจริง​ตามกระบวนการพิจารณา​โทษ​ต่อไป.