ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” ฉุนจัดถึงกับหลุดคิวคำรามให้รู้ว่า จะโค่นกันมันไม่ง่าย เพราะมีข้อมูลในมือจำนวนมาก ถ้าเปิดเมื่อไหร่ก็ตายกันหมด แต่ยังไม่ขอบอก

แต่ล่าสุด “นายกฯเศรษฐา” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้สวมบทหัวใจสิงห์ ไม่รอช้าเสนอชื่อ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. ขึ้นเป็นผบ.ตร.คนที่ 14  โดยคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เห็นชอบด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 9 ต่อ 1 งดออกเสียง 2

โจทย์ยากทั้ง“นายกฯเศรษฐา” และ “บิ๊กต่อ” ที่รออยู่ข้างหน้า คือ การฟื้นศรัทธาวงการสีกากี ให้ประชาชนกลับมานับถือ และตำรวจจะเป็นที่พึ่งพิง เป็นที่หวังของประชาชนได้อย่างไร จึงเป็นโจทย์ร้อน โจทย์ยากที่หลายฝ่ายต่างก็จับตาดูกันอยู่

จึงเป็นหน้าที่ของ “นายกฯเศรษฐา”  ต้องเข้ามาเป็นนายแบกที่ต้องรับสถานการณ์นี้ด้วย หลังจากเป็นนายแบกทุกเรื่องมาแล้วทั้งโจทย์เรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมือง  ที่ตอนนี้ต้องพยายามเดินเครื่องปั่นผลงานให้เร็ว แก้ปัญหาให้ได้ เพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว เพราะประชาชนต่างก็รอคอยความหวังที่จาก “นายกฯเศรษฐา”  เร่งคลอดมาตราต่างๆ ออกมาให้ได้ชื่นใจโดยเร็วตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งหาเสียง

ถึงแม้การไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ที่สหรัฐอเมริกา จะเป็นที่น่าพอใจเพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติสนใจลงทุน คาดตัวเลขพุ่ง 5 พันล้านเหรียญ และเตรียมเปิดประตูการค้าในการประชุมเอเปค ตั้งเป้าหนีบนักธุรกิจไทยไปด้วย ซึ่ง“นายกฯเศษฐา” ได้ใช้ช่วงเวลาฮันนี่มูนนี้เรียกเรทติ้งให้ขึ้นมาเรื่อยๆ 

ล่าสุดหอบคณะบินไปเยือนกัมพูชาเป็นชาติแรกในอาเซียน กระชับสัมพันธ์ หารือการค้า – ถกปัญหาชายแดนเรื่องความมั่นคง -แก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์  เป็นภาพที่ดูแล้วสวยจุดประกายความหวัง ได้ว่าจะมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาได้  แถมยังได้ใจจากการที่ “นายกฯเศรษฐา” ประกาศส่งต่อเงินเดือน-เบี้ยประชุมทุกบาทกว่า 100,000 บาทให้มูลนิธิต่างๆ ต่อยอดโอกาส เพื่อกลุ่มเปราะบางโดยประเดิมที่ “มูลนิธิเด็ก” แห่งแรก

แต่การทำงานยังไปไม่ถึงไหน ก็มีคนออกมาทวงถามถึงความชัดเจน ในนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ยังจับต้องไม่ได้ ที่มีการดักคอว่ารัฐบาลไม่มีเงิน ที่จะเอามาแจก ถ้าแจกได้ต้องไปกู้ ดังนั้นจะเอาเงินมาจากไหนมาจ่าย  “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลังก็ออกมาอ่อมๆแอ่มๆ ดึงเวลาขอวางกรอบให้ชัดเจนแล้ว จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา อมพะนำไม่กล้าบอกว่า จะกู้ออมสินทุบกระปุกเด็กมาแจกเงินหมื่นหรือไม่

หลัง“น้องไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ออกมาตะโกนตั้งคำถามว่ารัฐรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่  “ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว! ที่มาของงบ digital wallet จะมาจากการกู้แบงก์รัฐ (ออมสิน) โดยการขยายกรอบวินัยการเงินการคลังขึ้นไปเป็น 45% ของงบปี 67 จากเดิม 32% ไม่ได้มาจากงบประมาณตามที่ได้หาเสียง”  

การประชุมครม.ของ “นายกฯเศรษฐา”นัดที่แล้ว  ได้ออกมาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ทำให้ “อู๊ดด้า”จุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาเย้ย นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี เป็นเพียงแค่ยาแดง ที่รัฐบาลไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะหาเสียงไว้ พร้อมชี้ปัญหาให้เห็นว่า เรื่องนี้แบงก์ชาติเคยทำการศึกษาไว้แล้ว พบว่า ส่วนใหญ่การพักหนี้ี่เคยำมาหลายครั้ง จะำให้ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นหนี้เพิ่มถึง 70%  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องตระหนัก และเตรียมแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมเงินใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมด ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเตรียมการไว้สำหรับระยะยาวด้วย เพราะหมายถึงการนำเงินของคนทั้งประเทศออกมาใช้

การทำงานของ “รัฐบาลเศรฐา 1 จากนี้นับไปจนกว่าจะครบอายุรัฐบาล 4 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ว่าจะเดินทางไหนล้วนแล้วแต่จะเจอแต่ปัญหาที่ต้องค่อยแก้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทุกปัญหาจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นความท้าทาย “นายกฯเศรษฐา” จะกัดฟันสู้ฝ่าวิกฤติชาติ และมรสุมทางการเมืองไปได้หรือไม่ 

แม้เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ส่งให้ “เสี่ยอ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ  ถือธงนำในการแก้รัฐธรรมนูญมีความคืบหน้า โดยรวบรวมรายชื่อบุคคลที่จะมาร่วมได้แล้วกว่า 20 คน แต่ตั้งใจจะให้ไม่เกิน 30 คน โดยวางกรอบเวลารัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทุกฉบับ จะเกิดขึ้นภายใน 4 ปี ภายใต้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย และจะสามารถทันใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นการย้ำชัดเจนรัฐบาลเพื่อไทยขออยู่ยาว 4 ปี แก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จ

แต่งานนี้ยังมีความเห็นที่แตกออก 2 ฝ่าย ที่บ้างส่วนเห็นว่าสมควรแก้ทั้งฉบับ แต่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่จะต้องแก้ทั้งฉบับ และกระบวนการก็ไม่ต้องไปเริ่มหนึ่งใหม่ เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จะคุ้มค่าหรือไม่ 

โดย ประธานคณะทำงานติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา “วันชัย สอนศิริ” ออกมากระตุกและชี้ให้ “เสี่ยอ้วน”  3 ข้อถึงแนวทางที่จะทำนั้นมันต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก  คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ ครั้ง ถ้ารวมการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ด้วย จะใช้เงินครั้งละประมาณ พันล้านบาท รวมๆแล้วเกือบ หมื่นล้านบาท คุ้มหรือไม่ ในสภาวะเศรษฐกิจบ้านเมืองขณะนี้ เมื่อสิ้นบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญและมาตรา 272 สิ้นผลไปแล้วมีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรต้องแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อเป็นรัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบทุกด้าน

การแก้รัฐธรรมนูญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องใดจำเป็นเร่งด่วนกับประเทศมากกว่ากัน ถ้าตัดความรู้สึกว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มาจากคณะรัฐประหารได้ นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร รัฐธรรมนูญปี 2560 มาจากการแก้ไขข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีระดับหนึ่ง แต่ไม่ถูกใจบางพรรค เป็นเรื่องความรู้สึกมากกว่า แก้เป็นรายมาตราไม่ดีกว่าหรือ ประหยัดทั้งเงิน เวลา แก้ได้ตรงจุดตรงประเด็น ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ตอนนี้เตรียมปรับทัพใหม่กำหนด 16 ต.ค.จัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ในส่วนหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยสมาชิกพรรคต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร เหมาะสมที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และคิดว่าเป็นช่วงที่สถานการณ์เหมาะสม เพราะหากได้ “อุ๊งอิ๊ง” มาถือธงนำ ก็จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่นำพรรคสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าได้

งานนี้พรรคต้องประเมินให้ดี ว่า จากนี้ไปจนถึง 4 ปีข้างหน้า “อุ๊งอิ๊ง” จะยืนสู้ ฝ่ากระแสคลื่นลม ที่รอตั้งเคล้าซัดเข้าใส่ ไปได้หรือไม่  เพราะยังมีเรื่อง “คุณพ่อทักษิณ ชินวัตร” ที่กลับมาแล้วยังไม่ได้นอนคุกสักคืนเดียว แถมยังเป็นนักโทษฟาสแทรก (Fast track ) ที่สังคมจับจ้องกันอยู่

หากตั้ง “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นนั่งตำแหน่งตอนนี้ จะชำก่อนหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า 4 ปีข้างหน้าพรรคเพื่อไทย จะต้อสู้กับพรรคก้าวไกล ที่ได้วางยุทธศาสตร์รอเป็นรัฐบาล เลือกตั้งครั้งหน้าขอส้มทั้งแผ่นดิน และประกาศขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เกิดประสิทธิภาพ โดยไม่ได้เป็นฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่เป็นเงาที่ตามไล่บี้รัฐบาล หรือวิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลทำอย่างเดียว แต่พยายามจะเป็นฝ่ายค้านที่เป็นแสงในการนำทางหรือยื่นข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาล

โดยพรรคก้าวไกลได้มีการจัดทัพใหม่ วางตัวเดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เป็นหน้าหน้าพรรคคนใหม่ ขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายค้าน รับไม้ต่อจาก “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ขอลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะติดเงื่อนไขศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่สส. ขณะเดียวกันขับให้ “หมออ๋อง”ปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.บัญชีรายชื่อไปพ้นจากสมาชิกภาพ ให้ไปร่วมอาศัยชายคาพรรคอื่นที่เป็นพวกเดียวกัน.