เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่โรงแรมโคราชโฮเต็ล อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสยาม ศิริมงคล ผวจ.นครราชสีมา เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างการรับรู้เรื่อง “น้ำกระท่อมจังหวัดนครราชสีมา ปี 2566 โดยมีผู้ประกอบกิจการจำหน่ายน้ำกระท่อมจำนวน 200 คน รับฟัง นพ.ชวิศ เมธาบุตร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา พร้อมทีมวิทยากรประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ สสจ.นครราชสีมา ฝ่ายปกครองและตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ชี้แจงให้ความรู้ทำความเข้าใจประโยชน์และโทษพิษภัยของกระท่อม การบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) พืชกระท่อมและการควบคุมเฝ้าระวังการขายน้ำกระท่อม เพื่อควบคุมปัญหาการใช้ไม่เหมาะสมในเด็กและเยาวชน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสังคมโดยในรอบปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจากน้ำกระท่อมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพื้นที่ 32 อำเภอ ในจ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 1,700 ราย รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ประกอบการร่วมรับผิดชอบสังคมให้มีความสงบเรียบร้อยและตอบสนองนโยบายรัฐบาล

นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รอง ผวจ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำกระท่อมได้แพร่ระบาดไปในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทั้งรอบสถานศึกษาและเส้นทางหลวงสายหลัก สายรองจะพบเห็นป้ายขายน้ำกระท่อม รวมทั้งสถานบริการต่างๆ บางแห่งเริ่มจำหน่ายน้ำกระท่อมแทนจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูลล่าสุดมีร้ายขายน้ำกระท่อมในพื้นที่ 32 อำเภอ มากกว่า 500 ร้าน

ทั้งนี้นายสยาม ผวจ.นครราชสีมา มีความเป็นห่วงจึงมีข้อสั่งการไปฝ่ายปกครอง 32 อำเภอ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบและให้คำแนะนำ ล่าสุดได้ สสจ.นครราชสีมา มีแนวทางชัดเจนเรื่อง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย พ.ร.บ.พืชกระท่อม ปี 2565, พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ปี 2562 รวมทั้ง พ.ร.บ.อาหาร ปี 2522 กำหนดอัตราโทษขึ้นป้ายขายโดยไม่ขออนุญาต การต้มน้ำกระท่อมเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นต้น

ด้าน นพ.สุผล ตติยนันทพร นายแพทย์ สสจ.นครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ป่วยจากการดื่มน้ำกระท่อมเข้ารักษา 85 ราย เป็นที่น่าตกใจมีเด็กเยาวชนอายุ 12-17 ปี จำนวน 49 ราย โดยมีอาการตั้งแต่ป่วยเล็กน้อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียนจนถึงอาการหนัก สะท้อนให้เห็นเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงน้ำกระท่อมได้อย่างเสรีและง่ายดาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันสร้างความเข้าใจการใช้พืชกระท่อมอย่างถูกต้องและย้ำเตือนให้ผู้จำหน่ายทราบถึงข้อกฎหมายและให้ข้อมูลคำแนะนำพืชกระท่อมแก่ผู้บริโภค เพื่อบริโภคอย่างเหมาะสมและปลอดภัยรวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ป้องกันเด็กและเยาวชนเข้าถึงพืชกระท่อมอย่างไม่เหมาะสมหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์.