เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 พ.ย. ที่โรงพยาบาลตำรวจ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส. และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินทางมาที่โรงพยาบาลตำรวจเพื่อเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องขังคดีทุจริต โดยได้นำส้มตำไก่ย่างจากร้านของนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี มาเยี่ยมไข้นายทักษิณด้วย

นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า วันนี้ตั้งใจจะมา 3 คน กับทางนายสิระ เจนจาคะ และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ แต่ด้วยนายสิระติดธุระ และ น.ส.ปารีณามีอาการป่วยจึงไม่สามารถเดินทางมาได้ โดยเมนูที่นำมาเยี่ยมนายทักษิณวันนี้ คือ ไก่ย่างปิ้งเอง 1 ตัว ราคา 220 บาท เป็นไก่สาวเนื้อนุ่ม, ส้มตำไทยปู พริก 6 เม็ด ราคา 80 บาท เหตุผลที่ต้องใส่พริก 6 เม็ดนั้น เพราะอยากให้นายทักษิณได้กินอาหารแซ่บๆ ดีต่อเลือดลม, ข้าวเหนียว 4 ห่อ ราคา 60 บาท เพราะตนเห็นว่านายทักษิณเป็นคนเหนือ, ปลาขาวกรอบ 5 ห่อ ราคา 400 บาท เป็นของฝากจาก คุณเอ๋ นัยนา ชีวานันท์ ที่มาจากนครสวรรค์ รวมราคาของเข้าเยี่ยมนายทักษิณ 760 บาท

นายมงคลกิตติ์ ยังระบุอีกว่า ของที่ตนนำมาเยี่ยมนายทักษิณนั้น เป็นอาหารปกติที่สามารถเยี่ยมผู้ต้องขังทั่วไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนายทักษิณเอง ว่าจะอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมหรือไม่ และวันนี้ตนนั้นอยากถามไถ่อาการของนายทักษิณ ผ่านทาง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ หลังนายทักษิณเข้ารับการรักษาตัวมานานกว่า 70 วัน เพราะโดยปกติเวลามีคนดัง หรือเซเลบป่วย จะต้องมีนายแพทย์ออกมาแถลงทุกอาทิตย์เพื่ออัปเดตอาการ ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงหรือไม่ เครื่องมือพอกับการรักษา หรือต้องทำการย้ายโรงพยาบาลหรือไม่ การเข้าเยี่ยมนายทักษิณครั้งนี้ เหมือนเป็นตัวแทนหมู่บ้าน เพราะมีคนบางส่วนเป็นห่วงนายทักษิณ และคนบางส่วนสงสัยในกระบวนการยุติธรรมว่าจะเป็นยังไงต่อไป

ภายหลังจากที่นายมงคลกิตติ์ ฝากของเยี่ยมนายทักษิณให้กับทางโรงพยาบาล นายมงคลกิตติ์ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชน ว่า อาการของนายทักษิณได้อัปเดตให้กับทางกรมราชทัณฑ์แล้ว หลังจากนี้อีกประมาณ 2 วัน ตนจะเดินทางไปติดต่อกับนายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมอาการตามขั้นตอน ส่วนการเปิดเผยการรักษาเป็นสิทธิของผู้ป่วยในการเปิดเผยอาการ หลังจากทำเรื่องขอเยี่ยมเสร็จแล้ว ก็แล้วแต่นายทักษิณและครอบครัวว่าจะอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมเป็นคนที่ 11 หรือไม่ ส่วนตัวตนเชื่อว่านายทักษิณ ป่วยจริง แต่ไม่รู้ว่าหนักเบาแค่ไหน เพราะยังไม่มีแถลงการณ์ หรืออะไรที่ยืนยันในการรักษา.