เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 16 พ.ย. ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พ่อแม่ผู้เสียหายได้พานายโฟร์ (นามสมมุติ) ลูกชายวัย 30 ปี เข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียด กรณีที่ลูกชายไปรักษาอาการกับอาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต แล้วเสียเงินไป 5,000 บาท แต่อาการกลับไม่ดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเหมือนถูกหลอกลวง อวดอ้างเกินความเป็นจริง โดยไม่ประสงค์จะดำเนินคดี เพียงแต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ไม่อยากให้คนอื่นๆ ถูกหลอกเหมือนรายของตนเอง

พ่อของน้องโฟร์ เปิดเผยว่า ตนและภรรยา ทราบเรื่องราวของหมอเอก ฝ่ามือพลังจิต จากในคลิปที่มีการเผยแพร่ จึงได้ทักและติดต่อไป ปรากฏว่าทางหมอเอกและลูกศิษย์คือนายอาทร ได้ทักกลับมาที่ครอบครัวของตนเอง พร้อมทั้งบอกว่า ลูกชายมีอาการเป็นอย่างไร ตนจึงบอกว่าลูกเจ็บขาข้างซ้าย จมูกไม่ได้กลิ่น ต้องทำกายภาพบำบัด เพราะว่าประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทางอาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต จึงบอกให้มารักษากับตนเองเพราะสามารถช่วยได้ จึงได้ติดต่อขอรักษากับทางอาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต ซึ่งทางลูกศิษย์เองบอกว่า หากจะรักษาเร่งด่วน ต้องเสียค่าใช้จ่าย 5,000 บาท ตนจึงจองคิว เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 65 และไปรักษาตัวกับอาจารย์เอกที่บ้านลูกศิษย์คือนายอาทร ย่านบางบัวทอง ในวันที่ 28 ธันวาคม 65 ใช้เวลาในการจองเกือบ 1 อาทิตย์ ทางลูกศิษย์ยังบอกอีกว่า ถ้าอยากให้เร็วกว่านั้น ก็ต้องเสียเงินมากกว่า 5,000 บาท โดยใช้เรียกชื่อว่า “เคสกระซิบ” ตนจึงบอกไปว่า ขอเป็นเคสเร่งด่วนเสียเงิน 5,000 บาท ดีกว่า ทางลูกศิษย์จึงได้ให้ตนเองโอนเงินไปให้ ในบัญชีของนายอาทร เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท

โดยทางครอบครัวมีการพูดคุยกับทางอาจารย์เอกและลูกศิษย์ตลอดเวลา ในวันที่ทำการรักษา นอกจากอาการลูกชายไม่ดีขึ้น อาจารย์เอกยังเสนอขายยาพ่นและยากิน ให้กับตนเองไว้อีก 2 ขวด ในราคาขวดละ 650 บาท ลูกชายตนเองกินหมดไป 1 ขวด ก็ไม่มีอาการดีขึ้น ทุกอย่างเหมือนเดิม ตนเองมาปรึกษาทนายในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการอยากเอาเรื่องเอาราว เพียงแต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ไม่อยากให้อาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต ไปหลอกชาวบ้านแบบนี้อีก หากตนได้เงินคืน 5,000 บาท จะเอาเงินจำนวนนี้ไปมอบให้กับสถานสงเคราะห์เด็กพิการ

นายโฟร์ กล่าวว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม 65 คุณพ่อคุณแม่ตนเอง พาไปรักษากับอาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต ตนเองเห็นว่าพ่อแม่เสียเงินแล้ว ก็เลยเดินทางไปรักษา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ศรัทธา เมื่อไปถึงปรากฏว่า อาจารย์ใช้เวลาแค่ 15 นาที ในการตบศีรษะลูบหน้าผาก ซึ่งตนเองบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลย อาจารย์จึงลองทำให้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ถามว่าเบาขึ้นไหม ตนเองเกรงใจก็บอกไปว่าเบาขึ้นเล็กน้อย ตนยอมรับว่าการรักษาในครั้งนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย 

ขณะที่ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า เคสนี้จะพาผู้เสียหายไปเป็นพยาน ที่กองปราบฯ และให้ข้อมูลกับกองสนับสนุนบริการทางสุขภาพ การรักษาแบบนี้ มันต้องพิสูจน์ได้ มีคำตอบให้กับผู้ป่วยได้ ไม่เหมือนกับการรักษาแบบวิทยาศาสตร์กับทางโรงพยาบาล ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ มีคำตอบให้กับผู้ป่วยได้ เรื่องนี้เท่าที่ทราบ ทางกองสนับสนุนบริการทางสุขภาพ อยู่ระหว่างตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับอาจารย์รายนี้ ซึ่งมีถึง 5 ข้อหาด้วยกัน เท่าที่ทราบยังมีผู้เสียหาย ที่เสียเงินไปแล้วและรักษาไม่ได้ ติดต่อร้องเรียนเข้ามาอีกหลายราย หากเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ก็ต้องว่ากันไปตามตัวบทกฎหมาย