จากกรณี พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร สารวัตร (สอบสวน) สน.พระโขนง ยื่นหนังสือประสงค์ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 66 เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่รับราชการ อุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด นำความรู้และความสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะทักษะด้านภาษาจีน ที่ได้เข้าร่วมในการทำคดีสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนจีนมากมาย ทั้งปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แอบมาเปิดฐานอยู่ในประเทศไทย และติดตามประสานงานจนสามารถจับกุมกลุ่มคนไทย ที่ไปเปิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จีน แต่เมื่อถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ กลับไม่มีความเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสม นั้น

เปิดประวัติ พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร ลูกอดีตรอง ผบ.ตร. ผู้ไม่ใช้เส้น ไร้ตั๋ว สุดท้ายไม่มีตำแหน่ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Bordintorn Pensute ระบุว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา อยากจะมีเขียนโพสต์เป็นเรื่อง ๆ ไว้เก็บเป็นความทรงจำให้เตือนใจทุกปี การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่คิด แค่เป็นครั้งแรกที่ทำจริงทุกคนที่รู้จักผมจะรู้กันดีว่าผมมักจะบอกว่าอยากลาออกอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้ที่ผมยื่นหนังสือก็ไม่มีใครตกใจเลย แถมหลายคนยังโทรมาแสดงความยินดี แม้แต่ผู้เสียหายที่ผมดูแลเคสอยู่ก็โทรมายินดี 5555

ตอนปี 2013 ผมได้โอกาสรับทุนจากสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนนั้นภาษาจีนเองยังไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าไหร่ ซึ่งก่อนที่จะไปเรียนผมก็ได้สัญญากับพ่อไว้ว่าจะตั้งใจเรียนให้เต็มที่ เก็บเกี่ยวความรู้มาเพื่อช่วยเหลืองานตำรวจอย่างเต็มความสามารถ

ในระหว่างที่เรียนนั้นพ่อผมก็ได้ฝากผมไว้กับผู้บังคับการสืบสวนเมืองเซี่ยเหมินให้เป็นลูกบุญธรรม ซึ่งท่านผู้การก็ได้พาผมไปรู้จักและเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ของตำรวจจีนแบบที่หาในห้องเรียนไม่ได้ ทุกปีในช่วงปิดเทอมหน้าหนาวก็จะพาผมไปอยู่คลุกคลีกับตำรวจกองกับการต่าง ๆ ในเมือง ทำให้ผมเป็นที่รู้จักของตำรวจในเมืองเซี่ยเหมิน

หลังจากเรียนจบมาในปี 2017 ตอนนั้นก็ต้องบอกว่าได้รับโอกาสในการทำงานล่ามและแปล เนื่องจากช่วงนั้นมีการจับตัวผู้ต้องหาคนจีน 13 คนที่ สน.โชคชัย ซึ่งผมก็ได้มาช่วยสอบแปลสอบปากคำแบบโซโล่คนเดียว 13 ปาก (ก็ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไงเหมือนกัน) นอกจากนั้นยังได้ช่วยอ่านเอกสารต่าง ๆ ที่ตรวจยึดมาจากที่เกิดเหตุ และติดต่อกับหนึ่งในผู้เสียหายคนจีนได้ ทำให้เรามีหลักฐานหนักแน่นที่ยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้เป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จริง และนี่คืองานแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมเต็มที่กับงานล่ามและแปลให้กับงานตำรวจ

ผมทำงานจนกระทั่งปี 2019 ได้ขอทุนการศึกษาเฉินเจียเกิงไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดิมในสาขาด้านการสอนภาษาจีนให้กับชาวต่างชาติ ด้วยความหวังว่าเราได้เรียนกลับมาแล้วจะสามารถนำความรู้มาใช้ในการสอนภาษาจีนให้กับตำรวจไทยนำไปช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวได้

ในช่วงที่ขอทุนพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่รู้จักก็ถามว่าผมมีคะแนน HSK สูง ซึ่งที่จริงสามารถเลือกเรียนได้ทั้งประเทศ ไม่ว่าจะ ม.ชิงหัว, ม.ปักกิ่ง ฯลฯ ระดับท๊อปประเทศ แต่ผมกลับเลือกที่จะสมัครมาที่ ม.หัวเฉียว ซึ่งผมเองก็ให้คำตอบว่า ม.หัวเฉียวนั้นเด่นในเรื่องการสอนภาษาจีน นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับสนามบินหลักเพียง 3 ป้าย BRT ถ้ามีเหตุอะไรที่ต้องการให้บินไปช่วยงานด่วนก็สามารถซื้อตั๋วแล้วบินได้ทันที สรุปง่าย ๆ ก็คิดถึงงานก่อนนั่นแหละ 555

แต่เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนก็คือ การถูกย้ายจากอำนวยการท่องเที่ยว 1 มาเป็นสารวัตรสอบสวนที่ภาษีเจริญ ตอนนั้นเราอยู่ระหว่างเรียนปีสุดท้าย ซึ่งปกติแล้วทุกคนรู้ว่าการย้ายจะไม่ทำกับคนที่ไปเรียนต่างประเทศ แต่ก็เกิดขึ้นกับเราจนได้ ตอนนั้นคิดว่าจะได้ออกแล้วจริง ๆ แต่ก็ด้วยเพื่อนร่วมงานที่โรงพักทุกคนน่ารักมากจนทำให้ผ่านพ้นไปได้จนถึงรอบโยกย้ายปีถัดไป

ในการแต่งตั้งครั้งที่สอง เราก็ขอกลับท่องเที่ยวด้วยเหตุผลว่าเราลาเรียนมาเพื่อช่วยเหลือทำงานในการสอนภาษาให้ตำรวจท่องเที่ยว หรือไม่ก็ไปหน่วยงานใช้ภาษาอื่น ๆ แถมสอบโทอิคไว้และไปยื่นพร้อมไว้แล้วอีกต่างหาก แต่สุดท้ายก็คือนอกจากไม่ได้ไปที่ที่ขอแล้ว ยังถูกย้ายมาที่พระโขนงอีก และก็ตามนั้นแหละครับ ครั้งที่สามก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ

เค้าว่ากันว่าอย่าให้โอกาสเกินสามครั้ง ตอนนี้ครบไปแล้ว เราควรมูฟออนไปได้แล้ว แต่ผมก็บอกกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่รู้จักไว้นะครับว่าผมแค่จากไปจากตำแหน่ง แต่ใจผมยังอยู่กับงานตำรวจ ยังคงรักงานตำรวจ หากมีอะไรในงานล่าม งานแปล หรืองานที่ผมถนัด ก็ขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่าติดต่อมาได้ ยินดีช่วยเหลือเต็มที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับรักและขอบคุณทุกคนนะครับ.

ขอบคุณข้อมูล เฟซบุ๊ก Bordintorn Pensute