เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ครูสอนชั้น ป.5 อยู่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ต.ดิเรก เอี่ยมเล่ สว.(สอบสวน) สภ.ห้วยคต ว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 66 ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี อยู่ชั้น ม.2 ซึ่งมีบ้านติดกัน ฉวยโอกาสตอนที่ตนเลี้ยงลูกอยู่หน้าบ้าน เข้ามาลักเงินในห้องนอนซึ่งเก็บไว้อยู่ในโต๊ะ จำนวน 7 แสนบาทไป แล้วไปแบ่งให้กับแฟนหนุ่มและพรรคพวกนักเรียนด้วยกัน พร้อมนำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อไอโฟนแจกเพื่อนๆ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รายงานจากฝ่ายสืบสวน สภ.ห้วยคต แจ้งว่าจากการสอบสวน น.ส.เอ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองได้พักอาศัยอยู่กับแม่ พร้อมบุตรและหลาน 6 คน อยุ่บ้านที่เปิดเป็นร้านขายของชำ อยู่ริมถนนสายบ้านบ่อทราย-บ้านคลองหวาย โดยก่อนถูกขโมยเงินครั้งนี้ ก่อนหน้านั้น เคยถูกขโมยไปครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่แม่ของตนอยู่บ้านคนเดียว นั่งเลี้ยงเด็กอยู่บนแคร่ระหว่างเดินไปหลังบ้าน ได้มี ด.ญ.บี ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกัน ได้เดินลัดข้างบ้านเข้ามาทำท่าจะซื้อของ แต่เดินตรงไปยังกระติกใส่เงิน แล้วหยิบเงินไป 2,000 บาท โดยแม่ของตนมองเห็น และได้ว่ากล่าวไปโดยไม่เอาเรื่องแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ด.ญ.บี กลับไม่สำนึก มาก่อเหตุอีกครั้ง เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 66 ครั้งนี้ตอนแรกไม่รู้ว่าเกิดการขโมยเงิน แต่มารู้จากเพื่อนบ้านว่าในเวลา 19.00 น. ว่า ด.ญ.บี มีเงินใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย ไปซื้อโทรศัพท์มือถือไอโฟน แจกกลุ่มเพื่อนๆ นักเรียนด้วยกัน ด้วยความเอะใจ จึงเข้าไปดูเงินที่เก็บไว้ใต้โต๊ะ ซึ่งเป็นเงินที่กู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มา 5 แสนบาท เพื่อจะปรับปรุงบ้าน พร้อมกับเงินแม่อีก 2 แสนบาท รวมเป็นเงิน 7 แสนบาท เก็บไว้ในตู้ เมื่อเปิดออกมาดูถึงกับช็อก เนื่องจากเงินทั้งหมดได้หายไปหมด จึงเข้าแจ้งความตำรวจดังกล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังได้ข้อมูล ฝ่ายสืบสวน สภ.ห้วยคต จึงนำ ด.ญ.บี มาเข้าสู่กระบวนการซักถาม ตามกระบวนการที่มีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพร่วมด้วย กระทั่งเด็กยอมรับว่า เข้าไปลักเงิน 7 แสนบาท ที่บ้านหลังดังกล่าวไปจริง โดยนำเงินไปให้แฟนหนุ่ม อย่างไรก็ตาม แฟนหนุ่มของเด็กหญิงรายนี้ ปฏิเสธว่าได้เงินมาแค่ 3 แสนบาท ส่วนอีก 3 แสนบาท แบ่งให้อีกคนไป หลังจากนั้นกลุ่มเด็กได้พากันไปเที่ยวที่โลตัส อ.หนองฉาง ไปซื้อโทรศัพท์ไอโฟนรวม 11 เครื่อง ตำรวจจึงไปอายัดไอโฟนได้คืนมาทั้งหมด 11 เครื่อง พร้อมให้เจ้าของร้านมารับซื้อคืน เพื่อนำเงินส่งคืนเจ้าของ โดยได้เงินมาคืนให้ครูที่ตกเป็นเหยื่อแล้ว 1.2 แสนบาท ส่วนที่เหลือเงินอีก 5.8 แสนบาท อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยกับผู้ปกครองของเด็ก.