โดยเป็นการกระทำผิดเฉพาะตัว ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วน และยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อย่างแท้จริง เนื่องจากพบข้อพิรุธ รวมถึง ปรากฏการแวดล้อมต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า “เสี่ยโอ๋” ยังคงเป็นเจ้าของเงินตัวจริง ที่นำเงินในการดำเนินงานมาบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ส่วนผู้รับโอนหุ่น ก็เป็นเพียงนอมินี ที่ใช้เพียงชื่อ ในการเข้าบริหารบริษัทเท่านั้น

ทั้งนี้มีหลายฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาว่า หากเป็นการกระทำผิดเฉพาะตัวนั้น จะมีผลไปจนถึงการยุบ พรรคภูมิใจไทย ที่ “เสี่ยโอ๋” ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค อยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ “นายศักดิ์สยาม” และพรรคภูมิใจไทย จะต้องทำการบ้านในการตั้งรับแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้ เนื่องจากหากศาลเห็นว่าการกระทำครั้งนี้ ส่งผลไปถึงการดำเนินงานของพรรค แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่า เงินที่นำมาบริจาคคือการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำความผิดครั้งนี้ก็จะนำไปสู่การยุบพรรคก็เป็นได้

แต่ดูเหมือนว่า ทางพรรคภูมิใจไทย จะมีความมั่นใจ ว่าการกระทำผิดเฉพาะตัวครั้งนี้ ของ “เสี่ยโอ๋” จะไม่ส่งผลใดๆ ในการดำเนินการของพรรค เพราะดูจากการตอบคำถามของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังการอ่านคำวินิจฉัยของศาล ว่าการกระทำครั้งนี้ เป็นการกระทำเฉพาะตัว และเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่พรรคเป็นพรรคการเมือง ซึ่งก็ต้องดำเนินการทางกิจกรรมการเมืองต่อไป

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นที่น่าจับตามองของคนในสังคม เพราะหลายคนมองว่า การกระทำของ นายศักดิ์สยาม ว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การบริจาคเงินให้พรรคการเมือง อย่างกรณีที่ พรรคอนาคตใหม่ เพราะมีหลายคนนำไปเทียบเคียงกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่กู้ โดยมีสัญญาปกปิด มีการกู้เงินอย่างตรงไปตรงมา แต่ทั้งนี้ ทางศาลรัฐธรรมนูญให้ความเห็นว่า มีการเก็บดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติทางการค้า และมองว่าการบริจาคเงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงถือว่า เงินของพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนั้น ได้มาโดยมิชอบ จึงมีโทษไปถึงการยุบพรรค

ทั้งนี้ก็ต้องมองว่าการที่ “เสี่ยโอ๋” นำเงินบริจาคจากบริษัทของตนมาให้กับพรรค โดยมีนอมินีถือแทน จะถือว่าเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนทำให้ไปถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ ก็ยังคงมีต้องไปตรวจสอบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งทางพรรคภูมิใจไทยเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้ทราบว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ ทั้งนายศักดิ์สยาม และพรรคภูมิใจไทย จะต้องรับศึกหนัก ที่ต้องตั้งรับให้ดี

เพราะหากรอดก็รอดยกพรรค แต่ถ้าไม่รอดขึ้นมา สส. ในสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทย ก็คงต้องว้าวุ่นนั่งไม่ติดเก้าอี้ และรัฐบาลเองก็คงจะหนาวสันหลัง เพราะหากเกิดการกระจัดกระจายกันไปแล้ว ไม่แน่ว่า สส. ในส่วนนี้อาจจะกระจายไปยังพรรคฝ่ายค้านก็เป็นไปได้.