สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ว่า ผลอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 15-17 มี.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า หลังนับคะแนนไปแล้วมากกว่า 80% ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำคนปัจจุบัน ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ แต่ได้รับความสนับสนุนจากพรรคยูไนเต็ดรัสเซีย ที่เป็นพรรครัฐบาล ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากกว่า 87% ส่วนผู้สมัครที่เหลืออีก 3 คน ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนระหว่าง 3-4%


ผลคะแนนที่ออกมา หมายความว่า ปูติน วัย 71 ปี จะครองตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 5 จนถึงปี 2573 “เป็นอย่างน้อย” และสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำรัสเซีย ซึ่งอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด นับตั้งแต่นายโจเซฟ สตาลิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แถลงที่สำนักงานหาเสียง ในกรุงมอสโก หลังคว้าชัยชนะ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี


ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขยายวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จาก 4 ปี เป็น 6 ปี โดยไม่นับวาระการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมาของปูติน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซีย ระหว่างปี 2543-2551 แล้วเว้นวรรคมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนชนะการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2555


ขณะที่ปูตินกล่าวขอบคุณ “ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ” จากชาวรัสเซีย พร้อมทั้งกล่าวว่า ต่อให้บุคคลภายนอกต้องการ “ข่มขู่” และ “ปราบปราม” รัสเซียมากเพียงใด วิธีการดังกล่าวไม่เคยประสบความสำเร็จ และจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ


ด้านทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียครั้งนี้ “ไม่มีความเสรีและยุติธรรม” เนื่องจากมีการตัดสิทธิผู้สมัครทุกคน ที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับปูติน และนักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามล้วนถูกคุมขัง หรือกระทั่งเสียชีวิตอย่างปริศนา หนึ่งในนั้นคือ นายอเล็กซี นาวัลนี ซึ่งเสียชีวิตที่เรือนจำในไซบีเรีย เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา


ส่วนประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า ปูติน “คือเผด็จการ” และ “ยึดติดกับอำนาจ” อนึ่ง การเลือกตั้งผู้นำรัสเซียครั้งนี้ จัดขึ้นในพื้นที่หลายแห่งของยูเครน ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย นับตั้งแต่สงครามระหว่างสองประเทศปะทุ เมื่อเดือน ก.พ. 2565 ด้วย เรียกเสียงประณามจากหลายฝ่ายเช่นกัน รวมถึงสหประชาชาติ (ยูเอ็น).

เครดิตภาพ : AFP