เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 19 มี.ค. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีการประชุมพรรคพลังประชารัฐ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง

จากนั้นเวลา 16.30 น. นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ แถลงข่าวถึงการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานในที่ประชุมว่า บรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น โดย พล.อ.ประวิตร ได้มาก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาการประชุม พร้อมยืนยันกับสมาชิกพรรคว่า ร่างกายของท่านแข็งแรง เต็มที่พร้อมที่จะทำงานเพื่อบ้านเมืองของเราต่อไป

นายอรรถกร กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึงคำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ซึ่งมีประชาชนสนใจ และสอบถามมาทางพรรคจำนวนมากว่าคืออะไร โดยวันนี้ พล.อ.ประวิตร ได้บอกกับทุกคนในพรรคว่า ท่านมีจุดยืนในการที่จะอนุรักษ์ปกป้องสถาบันหลักของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ยึดติดอยู่กับอดีตเพียงแต่อย่างเดียว

“เราทราบดีว่า ประเทศไทยของเรามีเอกลักษณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก เรามีวัฒนธรรมมีจารีตประเพณี ที่ส่งต่อกันมา ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ส่งมายังรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และพรรคพลังประชารัฐ จะนำสิ่งที่พวกเราคนไทยหวงแหนส่งต่อไปยังลูกหลานของพวกเรา และเราจะทำงานโดยยึดสิ่งดีๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเราได้สร้างเอาไว้ และจะทำงานก้าวสู่อนาคตด้วยการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่างๆ เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้เปลี่ยนแปลงทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ ตั้งใจที่จะสืบสานความตั้งใจหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไป” นายอรรถกร กล่าว

นายอรรถกร กล่าวย้ำว่า สมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกคน เห็นพ้องที่จะเดินไปกับ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยใช้คำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ให้เป็นบทนำของพรรคต่อไป ในส่วนของรายละเอียดของคำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ขอให้รอสักพักหนึ่ง โดย พปชร. จะเปิดตัวของคำนี้อย่างเป็นทางการ ในการประชุมใหญ่สามัญพรรคที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดย พล.อ.ประวิตร มีความตั้งใจที่จะเชิญบุคลากรที่มีความรู้ ความทันสมัย มาทำงานร่วมกับเรา เพื่อที่จะทำให้พรรค สามารถเป็นสถาบันที่ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป.