เมื่อวันที่ 26 มี.ค.นายธีระ วัชรปราณี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า หนึ่งในคณะกรรมการเครือข่าย NGO นานาชาติ เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมประชุมประจำปีกรรมการเครือข่าย NGO ด้านการรณรงค์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Movendi International  เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ กรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย ซึ่งตนได้รายงานสถานการณ์ประเทศไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียนในความก้าวหน้าของการควบคุมน้ำเมา โดยมีกรรมการตัวแทนจากทวีปเอเชีย แอฟริกา อเมริกา อเมริกาใต้ และยุโรปเข้าร่วม

นายธีระ กล่าวว่า ที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์จากทุกภูมิภาคแล้ว เห็นว่า มาตรการจากองค์การอนามัยโลก ยืนยันว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 1 ใน 9 ปัจจัยเสี่ยงต่อโรค NCD ที่ต้องควบคุม และได้ออกข้อแนะนำ SAFER Initiative ให้รัฐบาลแต่ละประเทศได้ใช้ในการกำหนดนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการควบคุมโฆษณาส่งเสริมการขาย การจำกัดสถานที่ดื่มสถานที่ขายรูปแบบการขายวันเวลาและอายุ และมาตรการทางด้านภาษี ทั้ง 3 มาตรการเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแผนปฏิบัติการควบคุมแอลกอฮอล์ Global Alcohol Action Plan 2022 – 2030 ได้กำหนดกรอบการบรรลุเป้าหมายให้แต่ละประเทศในการลดอันตรายจากการดื่มลง 20 %จากข้อมูลปี 2553 ซึ่งทางเครือข่ายฯ ได้ประเมินว่า มีกลุ่มประเทศในยุโรปและอเมริกาที่มีมาตรการที่เข้มแข็งขึ้น ได้แก่ รัสเชีย ลิทัวเนีย เอาทัวเนีย ไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์ ซึ่งมีการห้ามโฆษณา ห้ามการส่งเสริมการขาย การเพิ่มภาษี  ทำให้สถิติปัญหาต่างๆ ลดลงชัดเจน ส่วนประเทศที่ไม่ได้ปรับปรุงอะไร ได้แก่ เยอรมัน ฟินแลนด์ แคนาดา อเมริกา เป็นต้น

ด้านนาย Maik Dünnbier ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์และนโยบาย Movendi International ตัวแทน NGO จากเยอรมัน กล่าวว่า เครือข่าย Movendi ได้ติดตามการทำตลาดของทุนแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่ (Big Alcohol Exposed Project)  ทั้งในยุโรป และญี่ปุ่น แบรนด์ยักษ์ใหญ่กว่า 10 แบรนด์ โดยแนวโน้มทุนเหล่านี้จะมาทำตลาดในประเทศที่มีความชุกของการดื่มต่ำ เช่น อาเซียน อินเดีย แอฟริกา โดยประเทศเหล่านี้จะขาดกฎหมายควบคุมที่เข้มแข็งเหมือนไทย โดยอาศัยการทุ่มการโฆษณา กิจกรรมการตลาดลดราคา และการทำ CSR เพื่อให้การดื่มเป็นเรื่องธรรมดา โดยเน้นกลุ่มผู้หญิงเด็กเยาวชน เข้าไปทำกิจกรรมสอนให้ดื่มรับผิดชอบ หรือดื่มแบบพอดี ซึ่งเป็นกลยุทธ์บังหน้า สร้างภาพลักษณ์ ที่เจ้าของแบรนด์ไม่ต้องรับผิดชอบในสินค้าตนเอง ข้อสังเกต คือประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยตอนนี้สถิติการดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไทยที่มีกฎหมายเข้มแข็งกว่า  ทำให้ไทยสามารถชะลอการเพิ่ม ลดกระแสการตลาดได้ จึงไม่แปลกใจที่ธุรกิจเหล่านี้จะเข้าร่วมแทรกแซง แก้ไขกฎหมายของไทยเพื่อจะได้ทำการตลาดได้เต็มที่ เพราะไทยยังมีคนไม่ได้ดื่มอีกมาก    

“บทเรียนของเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีเสรีในสินค้าน้ำเมา การศึกษาพบว่ามีความสูญเสียต่อเศรษฐกิจกว่า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ  ในขณะที่รัฐได้ภาษี 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ  ขาดทุนกว่า 3 เท่า โดยการผูกขาดของทุนขนาดใหญ่ที่สามารถซื้อกลุ่มผู้ผลิตรายย่อย สุดท้ายผูกขาดยิ่งกว่าเดิม ด้านฝ่ายสาธารณสุขไม่สามารถเสนอกฎหมายควบคุมได้แม้จะรู้ว่ามีปัญหามากมาย เพราะการแทรกแซงทางการเมืองของทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ ตนเองจึงสนับสนุนประเทศไทย ไม่ควรจะให้กฎหมายถดถอยแต่ควรแก้ไขให้เข้มแข็งขึ้น จริง ๆ แล้วเยอรมันจะมีเศรษฐกิจที่ดีกว่านี้ถ้ามีมาตรการที่เข้มแข็งแบบไทย” นาย Maik กล่าว