เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 23 พ.ค. นายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีผู้อ้างตนว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช สามารถใช้ศาสตร์ หรือวิชา หรือพลังงานบางอย่างในการรักษาผู้ป่วยได้ ทำให้มีผู้เชื่อและเข้ารับการรักษาจำนวนมาก ในปัจจุบัน ซึ่งมีมากขึ้น ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการใช้คำว่า “รักษา” ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ดังนั้น ผู้ที่ใช้อิทธิฤทธิ์ ใช้ญาณต่างๆ ทั้งหลาย ต้องหยุด ถ้าไม่หยุด จับ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคนแจ้งข้อมูลถึงผู้ที่อ้างตัวว่ารักษาผู้ป่วยได้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่วันนี้ต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเท่านั้นเอง ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข สั่งการให้ทำงานเชิงรุก ซึ่งตนก็จะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเต็มที่ เป็นไปตามกฎหมาย พิสูจน์ได้ ไม่ใช่การอุปโลกน์     

เมื่อถามว่า กรณีมีผู้ที่อ้างตัวว่า มีอิทธิฤทธิ์ มีอภินิหาร ไปออกรายการทีวี จะมีการตรวจสอบดำเนินการอย่างไรต่อหรือไม่ นายกองตรีธนกฤต กล่าวต่อว่า ตรงส่วนนั้นถือว่า ความผิดสำเร็จแล้ว เราเข้าไปดำเนินการอยู่แล้ว แต่ตามมาตรการก็ต้องเตือนให้หยุดก่อน และต้องเข้าไปดูว่ามีผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งต้องเตือนไว้ว่า การที่ออกมาระบุว่า ใช้วิธีใดๆ สามารถรักษาต่างๆ ได้นั้น บางครั้งยังไม่มีการพิสูจน์ทราบ ซึ่งต้องไปขอขึ้นทะเบียนในการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทางเลือก หมอพื้นบ้าน หรือแพทย์แผนไทย ก่อนซึ่งหากเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดก็สามารถไปประสานขอรับการตรวจพิสูจน์ และขึ้นทะเบียนกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็มาที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข  

“ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำการรักษา ถึงจะบอกว่าไม่ได้เก็บเงิน ไม่ได้สัมผัสตัว ไม่ได้ให้ยา แต่คุณยืนยันว่าได้ทำการรักษาแล้ว ก็เข้าองค์ประกอบของ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะแล้ว นอกจากนั้นยังมีสถานที่ด้วย ก็จะเข้ากับ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ซึ่งทั้งสองจะต้องได้รับอนุญาตก่อน ซึ่งกรณีที่ไปออกรายการ ซึ่งผมก็ไปออกรายการด้วยนั้น ก็ยืนยันว่า ผิด มีโทษจำคุก 5 ปี และยังไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะอีกซึ่งมีโทษรวมๆ กันแล้ว 7-8 ปี ดังนั้น หากคิดว่าตัวเองรักษาโรคได้จริงก็ให้ไปขึ้นทะเบียน อย่างหมอพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนยังต้องเก็บสถิติการรักษาอย่างน้อย 10 ปี ที่มาที่ไปของศาสตร์การรักษา แต่นี่คุณไม่มีที่มาที่ไป คุณคิดเอง คุณอุปโลกน์ขึ้นมา คุณมีความเชื่อแบบนี้ไม่ได้ เพราะส่งผลต่อผู้ป่วยในการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน และยังมีโอกาสหายจากโรคได้ แต่กลับถูกตัดกระบวนการนี้ไป โดยที่คุณก็ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์ แล้วถ้าหากผู้ป่วยเสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ” นายกองตรีธนกฤต กล่าว

นายกองตรีธนกฤต กล่าวต่อว่า ขอเตือนถึงประชาชนที่มีความเชื่อในการรักษาโรคด้วยวิธีทางเลือก ขอให้ศึกษาวิธีการนั้นๆ อย่างถี่ถ้วน และขออย่าทิ้งการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต หากสงสัยก็สามารถสอบถามที่กระทรวงสาธารณสุข หรือสถานพยาบาลในพื้นที่ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งเชื่อทันที เพราะที่ผ่านมาเสียชีวิตกันไปเยอะแล้ว.