คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ (LogHealth) ผนึกความร่วมมือกับ สมาคมธุรกิจคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น จัดงานสัมมนา Loghealth Forum เรื่อง “ยกระดับบริหารจัดการโลจิสติกส์โซ่ความเย็น (Cold Chain) ความท้าทายใหม่ของประเทศไทย” เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวพัฒนาเพื่อรองรับมาตรฐานกำกับดูแลอุตสาหกรรมโซ่ความเย็น ยาและวัคซีน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะประกาศใช้มาตรฐาน GSDP (Good Storage and Distribution Practise) หลักปฏิบัติที่ดีในการกระจายสินค้าเวชภัณฑ์ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป เพื่อชีวิตและสุขภาพของคนไทย โดยสอดคล้องกับระดับมาตรฐานสากล และองค์การอนามัยโลก

เภสัชกร ดร.สุชาติ จองประเสริฐ ผู้อำนวยการกองยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า จากปัญหาความหลากหลายของข้อมูลผลิตภัณฑ์ ทั้งผู้นำเข้า ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า ตลอดจนข้อมูลและอุปกรณ์ในระบบโซ่ความเย็น การทำงานของบุคลากรในระบบโซ่ความเย็นที่ยังขาดความรู้ในการจัดเก็บและการขนส่งผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงจัดทำมาตรฐานหลักปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยจะประกาศใช้มาตรฐาน GSDP (Good Storage and Distribution Practise) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 นี้ ซึ่งเป็นประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกระจายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2564 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ (พ.ร.บ.ยา 2510) กำหนดวิธีการจัดส่งสินค้าที่ดี Good Distribution Practices (GDP) เพื่อยกระดับการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ในภาคเอกชนจะมีมาตรฐานที่ใช้เป็นหลักในการพัฒนาธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด และภาคประชาชนจะได้รับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานนำไปสู่เป้าหมายสำคัญในมิติคุณภาพความปลอดภัยของผู้ป่วย

รศ.ดร.ดวงพรรณ กริชชาญชัย หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีแนวโน้มการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมโซ่ความเย็นมากขึ้น มีมูลค่าตลาด 2.6 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตปีละ 8% จากการคำนวณอัตราการเติบโต CAGR (Compound Annual Growth Rate) ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2019 ถึงปี ค.ศ. 2022 เป็นที่ทราบกันดีว่า ประสิทธิภาพของยา วัคซีนรักษาโรค ตลอดจนอุณหภูมิการเก็บรักษา การขนส่งถึงผู้ป่วย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องตระหนักถึง ดังนั้นห่วงโซ่อุปทานความเย็น (Cold Chain) จึงจำเป็นต้องพัฒนาประสิทธิภาพตามมาตรฐานของประเทศและหลักสากลของ WHO ด้วย แนวทางมาตรฐาน GSDP (Good Storage and Distribution Practise) ซึ่งกำหนดไว้ในข้อกฎหมาย จะเป็นแนวทางสำหรับใช้ในการจัดส่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ในห่วงโซ่การกระจายจากผู้ผลิต และการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ตลอดจนการบริจาค

คุณณัฐภูมิ เปาวรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น กล่าวถึง เมกะเทรนด์แนวโน้มของห้องเย็น (Cold Storage) ในประเทศไทย มี 3 ประการ คือ 1. Robotic & Automation ผู้ให้บริการโลจิสติกส์มีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์และอัตโนมัติในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้อง แม่นยำ โดยเฉพาะในวงการอาหารและยาสำคัญมาก เพราะในการจ่ายสินค้าแต่ละครั้ง ผลิตภัณฑ์เดียวกันแต่หากส่งผิดล็อต จะก่อให้เกิดปัญหาทันที 2. Data-Driven Business ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล ตรวจสอบย้อนกลับได้ และแสดงบน Dashboard เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงในอนาคตได้ และ 3. Pharmaceutical & Healthcare เป็นแนวโน้มสำคัญจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของไทย และโควิด-19 ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น เช่น Vaccine at Home ระบบแพทย์ทางไกล

ปัจจัยที่จะทำให้โซ่ความเย็น (Cold Chain) เกิดความสำเร็จ ได้แก่ 1. Certification Standard & Operation Excellence ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในอนาคตจะต้องผ่านการรับรองด้วยมาตรฐาน GMP & HACCP, ISO 9001, ISO 14001 และ GSDP (Good Storage and Distribution Practise) 2. การพัฒนานำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น (Smart Warehouse-Cold Storage & Technology) เช่น ด้าน Smart Warehouse นำระบบ AI Camera ช่วยแคปเจอร์ภาพ คัดแยกผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าใช้สายตาคน และด้าน Smart Transport จะมีการนำ AI Control Tower, Smart GPS Track & Trace เข้ามาช่วยติดตามและควบคุมคุณภาพ Smart Information การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ สามารถโชว์ข้อมูลบน Dashboard และนำมาใช้วิเคราะห์พัฒนาต่อไปได้.