เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่สำนักงานษิทรา ลอว์ เฟิร์ม กรุงเทพฯ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้แถลงชี้แจงประเด็นข้อสงสัยต่างๆ หลังเจอกระแสโต้กลับจากสังคม ปมการขุดคุ้ยเรื่องธุรกิจสีเทาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย จนตัวเองต้องเงียบหายไปจากโซเชียลระยะหนึ่ง

นายษิทรา กล่าวว่า ตนจะตอบทุกข้อสงสัยของสังคม รวมถึงเรื่องความร่ำรวยของตัวเองกับงบการเงินบริษัทษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2565 ซึ่งติดลบ ย้อนไปก่อนหน้าที่จะเป็นบริษัทนี้ ตนเคยเปิดบริษัทชื่อ วิสด้อม ลอว์ เฟิร์ม เมื่อปี 2561 เอารายได้และเงินส่วนตัวเข้าบริษัท บางคดีก็ทำให้ฟรี กระทั่งเริ่มทำธุรกิจ ลอว์ เฟิร์ม ช่วง เม.ย. 2565 มียอดรวมรายได้ 22 ล้านบาท แต่ที่ยังไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนั้น เพราะข้อมูลยังไม่เสร็จ ซึ่งสามารถตรวจสอบกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ ส่วนภาษีบุคคลธรรมดาปีที่แล้ว ตนเสียไปหลักล้านบาท ยืนยันยื่นถูกต้อง เชื่อว่านี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงไม่รับเรื่องตนเป็นคดี และส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบแทน

นายษิทรา ยังกล่าวต่ออีกว่า ส่วนตอนทำคดีลุงพล ช่วงนั้นไม่มีใครว่าจ้าง ทำให้ต้องใช้เงินเก็บตัวเอง ส่วนมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ที่ตนเป็นเลขาธิการนั้น ตัวเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงินเลย แต่กลับโดนแฟนคลับลุงพลกล่าวหาว่ามีเงินโอนเข้ามาเป็นแสนเป็นล้านนั้น ตนยืนยันว่าไม่มี

พร้อมกันนี้ นายษิทรา ยังได้เปิดเผยหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งแต่ละยอดไม่ถึงหลักหมื่นบาท และยอดเงินรวมในบัญชีของมูลนิธิ มีอยู่หลักแสนบาทเท่านั้น

ส่วนประเด็นเรื่องเกี่ยวพันกับเว็บพนันออนไลน์นั้น นายษิทรา กล่าวยืนยันว่า ตนไม่รู้จักสารวัตรซัว และเว็บพนันเฮงเกม ยินดีให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะตัวเองก็ไม่เล่นพนัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความสนิทสนมระหว่างนายษิทรากับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นั้น นายษิทรา กล่าวว่า ตนรู้จักกันมาได้ 5 ปีแล้ว เมื่อมีเรื่องอะไรก็จะไปปรึกษา ยืนยันการโพสต์ภาพนั้นไม่ได้ต้องการอวดอ้างว่าสนิทกับใคร เพราะตนโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในชื่อลูก ที่มีเพื่อนหลักร้อยคนเท่านั้น และได้ขอโทษ รอง ผบ.ตร. ไปแล้ว

ส่วนประเด็นถุงเงิน 6 ล้านบาทของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นั้น นายษิรา กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลตามข้อเท็จจริง แต่เรื่องเงินดิจิทัล 50 ล้านบาท ที่โอนให้ลูกชายนายชูวิทย์ ตนได้เข้าพบตำรวจกองปราบเพื่อให้ข้อมูลแล้ว จากนี้ก็เป็นการสืบสวนของตำรวจ

“ขอพูดเรื่องที่นายชูวิทย์ พูดถึงแจ็ค ที่เป็นญาติตัวเอง เขาเป็นคนขายนกสวยงาม และขายนาฬิกา เมื่อใส่ความเขา ทำให้เกิดความเครียด ผมรู้ว่าข้อมูลนี้มาจากญาติแจ็ค ที่ไม่ชอบกัน อาศัยจังหวะทำลายแจ็ค” นายษิทรา กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายษิทรา ยืนว่าจะไม่ฟ้องประชาชนที่เข้ามาต่อว่าตัวเอง แต่จะฟ้องคนที่กุเรื่องขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นใคร รวมถึงแนะนำให้คนที่ชอบโพสต์แฉเรื่องรางของตนไปหาหมอ

นอกจากนี้ ระหว่างการสัมภาษณ์ นายษิทรา ยังได้พา บุคคลที่อยู่ในคลิป ตำรวจท่องเที่ยวช่วยยกกระเป๋าเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ มาชี้แจง โดยนายษิทรา เปิดเผยว่า น.ส.อ้อย เป็นลูกความตัวเองที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยรู้จักกับ น.ส.อ้อย ตั้งแต่ตอนที่บริจาคเงินซื้อวัคซีนให้คนไทยช่วงโควิดระบาดร่วม 20 ล้านบาท

ส่วน น.ส.อ้อย กล่าวว่า ตนประกอบธุรกิจทำร้านเบเกอรี่กับแฟน ติดตามนายษิทรา ในฐานะแฟนคลับตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว โดยคลิปที่ถูกนำไปเผยแพร่เรื่องการเดินทางขึ้นเครื่องบิน นายษิทราได้ไปส่งตนที่สนามบิน และมีตำรวจ 2 นาย ยืนตรงทางเท้าบริเวณทางเข้าสนามบิน เข้ามาถามนายษิทรา ว่าจะไปไหน โดยนายษิทราบอกว่า มาส่งพี่สาวไปต่างประเทศ ก่อนที่ตำรวจจะช่วยยกกระเป๋าให้ ทั้งที่พวกตนปฏิเสธว่าทำเองได้ไปแล้ว ส่วนพนักงานประจำเคาน์เตอร์ต้อนรับ ก็ยกมือไหว้ทักทายตามหน้าที่เป็นปกติ รวมถึงไม่ได้พาไปแทรกคิวผู้ใด เพราะตนมีตั๋วเดินทางชั้นธุรกิจ ที่จะมีช่องทางพิเศษอยู่แล้ว

น.ส.อ้อย กล่าวต่ออีกว่า นายษิทรา เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย คอยประสานงานกับฝ่ายกฎหมายที่ฝรั่งเศส ที่ผ่านมาตนไม่อยากออกสื่อ เพราะไม่อยากเป็นที่จับตาของสังคม จากนี้จะมอบหมายให้นายษิทราดำเนินการทางกฎหมายอีกครั้ง หลังมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่

ส่วนเรื่องบ้านหรูและคอนโดมิเนียมที่ฝรั่งเศส ซึ่งชาวเน็ตจับตามองว่าเป็นของนายษิทรา ซื้อหรือไม่นั้น น.ส.อ้อย บอกว่า บ้านและคอนโดฯ ดังกล่าวเป็นของตนเอง ซึ่งช่วงที่นายษิทรามาเที่ยวที่ฝรั่งเศส ก็จะให้เขาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวตนด้วย โดยตอนนี้กำลังปรับปรุงคอนโดมิเนียมอยู่ ซึ่งเหตุที่ให้เขามาอยู่นั้น เป็นเพราะรู้สึกเหมือนเป็นน้องตัวเอง เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกเป็นห่วงด้วย

อย่างไรก็ตาม นายษิทรา ยังกล่าวอีกว่า รู้สึกโล่งใจที่ได้มาแถลงข่าวตอบทุกข้อสงสัยของสังคม ก่อนหน้านี้รูสึกอึดอัด เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นด้วย ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินหากดีเอสไอ เรียกเข้าตนเข้าไปชี้แจง ตนก็ยินดี ตนพร้อม

ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “ออยศรีและผองเผือก” คู่ปรับ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เดินทางมารอร่วมฟังการแถลงข่าวชี้แจงประเด็นสังคมจากทนายตั้มที่สำนักงานวันนี้ โดยเจ้าตัวถูกฝ่ายอาคารของตึกสำนักงานมากีดกันไม่ให้ขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นความประสงค์ของสำนักงานษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ในฐานะผู้เช่าสถานที่

ออยศรีและผองเผือก กล่าวว่า วันนี้ตัวเองต้องการมาสอบถามทนายตั้ม เรื่องความร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่แม่ของทนายตั้ม เคยบอกว่าสมัยก่อนหน้านี้ ที่เจ้าตัวจะทำคดีหวย 30 ล้านบาทนั้น ยังไม่ค่อยจะมีข้าวกินเลย ผิดกับปัจจุบันที่มีทรัพย์สินราคาแพงมากมาย ทั้งรถ ทั้งนาฬิกา สวนทางกับงบการเงินของบริษัท เพราะตนมีข้อมูลว่า ยอดการเงิน 3 ปี ที่ผ่านมา ติดลบถึง 450,000 บาท ตนยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ความร่ำรวยก้าวกระโดดของทนายตั้ม ยังมีลักษณะเหมือนกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ จึงต้องฝากสื่อไปถามแทน อย่างไรก็ตาม ตนมีข้อสงสัยว่า ทำไมตนกลับมีรายชื่อไม่ให้ขึ้นตึก ทั้งที่ตัวเองไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับอาคารนี้ และเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

ออยศรีและผองเผือก กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนกับเพื่อนๆ รวม 3 คน เคยเป็นจิตอาสาช่วยเหลืองานทนายตั้ม แต่กลับโดนใส่ร้ายเรื่องชู้สาวจนเสียหาย ในช่วงเวลาที่แม่ตัวเองล้มป่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีภาพโพสต์ระหว่างตนกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง รวมถึงนายยงยุทธ คู่กรณีทนายตั้มนั้น มองว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร ยืนยันนายชูวิทย์ไม่ได้ส่งตัวเองมา และภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ตนเองไปทานอาหารร่วมกัน พร้อมเปิดหลักฐานต่อกันและกันเท่านั้น ยืนยันว่าหากทนายตั้มเป็นคนไม่ดีจริง การกระทำของตนนั้นจะเป็นประโยชน์กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม ฝากขอบคุณทนายตั้ม ที่เคยส่งคนติดต่อหาตน และบอกว่าไม่เคยคิดจะฟ้องร้องตัวเอง แต่ต้องรอดูต่อไปว่า จะทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมา ทั้งทนายตั้มจะหลอกใช้คนอื่น เช่น ตนเอง พอหมดประโยชน์หรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา ก็จะถูกโจมตีเช่นนี้.