ในโลกของการทำงาน ที่หลายๆ คนคงจะถูกคาดหวังจากการทำงาน ที่สามารถทำได้หลายอย่าง มีความสามารถที่หลากหลาย หรือว่า Multi-function นั้น อาจจะทำให้เกิดภาระงานที่มากขึ้น หรือเป็นการทำงานหนักโดยไม่รู้ตัว จนนำไปสู่ “โรค Karoshi (คาโรชิ)” หรือ ที่เรียกว่าทำงานจนตาย!

สำหรับโรค Karoshi นั้น จะเห็นได้ว่ามีที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการที่ทำงานหนักจนเกิดโรคทางหัวใจและเส้นเลือดสมอง โดยเกณฑ์การวินิจฉัยที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันจะคล้ายกัน แต่ที่ประเทศเกาหลีใต้จะต่างกันออกไป โดยพบว่าปัจจัยสำคัญมากสองอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Karoshi คือ ระยะเวลาทำงานที่ยาวนาน และมีความเครียดในงานมากเกินไป

วันนี้ Healthy Clean จึงขอพามาทำความรู้จักโรคดังกล่าวกับ นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรค Karoshi หรือ ที่เรียกว่าทำงานจนตาย เป็นปัญหาต่อเนื่องในสังคมการทำงานของประเทศญี่ปุ่น มาเป็นเวลานานเกือบ 50 ปี จนเกิดคำศัพท์ “คาโรชิ” (Karoshi) ขึ้น

ถ้าแปลตามอักษรคันจิทีละตัว คำว่า ka = มากเกินไป / ro = การทำงาน / shi = ความตาย) และคำว่า “Karoshi” ถูกนำไปใส่ไว้ในพจนานุกรม Oxford English Dictionary ปี 2002

โดยสาเหตุของ Karoshi เมื่อมีความเครียดสมองจะสั่งให้หลั่งฮอร์โมน เราเรียกว่า sympathetic adrenomedullary system โดยจะหลั่งฮอร์โมน catecholamine ออกมาสองตัวคือ epinephrine และ norepinephrine และต่อมไต้สมองโดย hypothalamic pituitary adrenocortical system จะหลั่งcortisol ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้เราเรียกว่าตัวชี้วัดความเครียด (stress indicator)

และเนื่องจากจะวัดได้ในเลือดและปัสสาวะเวลาร่างกายเกิดความเครียด โดยเมื่อเกิดความเครียด ฮอร์โมนเหล่านี้จะถูกหลั่งออกมาในเลือด ทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงาน น้ำตาล และกรดไขมัน ทำให้เกิดการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาช่วยชีวิตในคน โดยเฉพาะเมื่อเจอภาวะฉุกเฉิน เมื่อมนุษย์พบเหตุการณ์เครียดก็จะมีกลไกตอบสนอง เพื่อลดความเครียดนั้นลง การตอบสนองขึ้นกับสภาวะทางสรีระหรือจิตใจของคนนั้นๆ

แต่ถ้าไม่สามารถจัดการความเครียดได้ ก็จะหลงเหลือความเครียดอยู่ (residual stress) ซึ่งทำให้เกิดกลไกจิตบังคับกาย หรือแสดงออกทางร่างกาย หรือเกิดโรคได้ ความเครียดที่หลงเหลือทำให้มีระดับ catecholamine สูงในเลือดตลอด และทำให้ความดันโลหิตขึ้น ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดแข็งและหนาตัว เกิดความดันเลือดสูงขึ้นอีก และทำให้เป็นโรคของหลอดเลือด

“นอกจากนี้ฮอร์โมนเหล่านี้ ยังทำให้เกิดระดับไขมันในเลือดสูง มีการแข็งตัวของเลือด และหลอดเลือดตีบ โดยฮอร์โมน epinephrine และ norepinephrine จะเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง ส่วน cortisol ยังทำให้เกิดโรคของหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ลดภูมิคุ้มกัน และภาวะพุทธิปัญญาเสื่อมลง”

โดยจากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ทำงานมากกว่าสัปดาห์ละ 50 ชั่วโมง จะมีระดับ cortisol สูงเป็นสองเท่าของผู้หญิงที่ทำงานปานกลาง

ด้านนายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้เผยอีกด้วยว่า การทำงานจนตาย ยังมีปัจจัยทางจิตวิทยาเช่นปัจจัยเรื่อง job demand control ตามทฤษฎีของ Karasek และ Theorell ถ้าเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างความต้องการจากงาน (Job demand) กับการควบคุมงาน (Job control) อาทิ มีความต้องการปริมาณงาน เช่น งานที่ต้องใช้ทักษะ แต่คนทำงานไม่มีประสบการณ์ทำให้ไม่สามารถควบคุมงานให้เป็นไปดังใจได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเครียดขึ้น Work-life balance เป็นภาวะที่มีความสมดุล โดยคนทำงานสามารถจัดลำดับความสำคัญให้เกิดความเท่ากัน ระหว่างสิ่งที่ทุ่มเทให้กับงานเท่ากับสิ่งที่ทุ่มเทให้กับชีวิตส่วนตัว 

เหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถเกิด work life balance ได้คือ การเพิ่มความรับผิดชอบในงานทำให้ทิ้งงานไม่ได้ การทำงานมากชั่วโมงเกินไป การเพิ่มความรับผิดชอบหน้าที่ที่บ้าน การมีลูก การมี work-life balance จะทำให้เกิดผลเชิงบวกหลายอย่างเช่น ลดความเครียด ลดโอกาสหมดไฟ และมีความรู้สึกว่าตนเองมีความสบายใจ นายจ้างที่มุ่งมั่นจะจัดสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้สนับสนุน work-life balance กับลูกจ้างจะช่วยลดค่าใช้จ่าย มีการลาป่วยน้อยลง และลูกจ้างจะมีความภักดีและทำงานให้เต็มที่ การแบ่งชั่วโมงทำงาน และชั่วโมงอยู่บ้านนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็น work life balance เพราะเรามักจะทำไม่ได้ สิ่งที่ดีกว่าคือเวลาที่ยืดหยุ่น โดยการทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นงาน และสามารถใช้เวลาในการสนุกสนานกับชีวิตส่วนตัวไปด้วย โดยอาจมีบางวันที่ทำงานนานขึ้น เพื่อให้มีเวลาที่เหลือในสัปดาห์นั้นเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ

วิธีการทำงานเพื่อให้เกิด work life balance คือ (1) การยอมรับว่าไม่มี work life balance ที่สมบูรณ์แบบเช่นทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือในชั่วโมงทำงานไม่ต้องมาคิดเรื่องการเรียนของลูก ในความเป็นจริงบางวันเราจะเน้นงานมาก เนื่องจากสนุกและมีสมาธิ บางวันเราอาจเน้นเวลาส่วนตัวและครอบครัวมากกว่าเวลาทำงาน การรักษาสมดุลให้ได้จะต้องใช้เวลา ไม่ใช่ออกแบบวันต่อวัน แต่ควรเปิดตัวเองให้ย้อนกลับและประเมินความต้องการของเราเองให้ได้ว่าเราต้องการอะไร
(2) ทำงานที่ตัวเองชอบ ไม่จำเป็นที่เราต้องรักงานเราในทุกด้านแต่น่าจะมีด้านใดด้านหนึ่งกระตุ้นให้เราอยากลุกจากที่นอนไปทำงานในตอนเช้า ถ้างานของเราทำให้เราเครียด วิตกกังวล และกินเวลาพักผ่อน ส่วนตัว งานนั้นน่าจะมีปัญหา ถึงเวลาที่ต้องหางานใหม่
(3) สุขภาพเราสำคัญที่สุดทั้งสุขภาพกายและจิต ถ้าต้องรักษาก็รีบไปรักษาแม้จะต้องเลิกงานก่อนเวลาหรือต้องหยุดงานเราอาจจะทำงานได้น้อยลง แต่เราจะมีความสุขมากขึ้น และทำงานได้ผลผลิตมากขึ้น

(4) อย่ากลัวที่จะถอดปลั๊กตัวเองหรือหยุดพักร้อน การถอดปลั๊กง่ายๆ คืออ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับงาน เป็นหนังสือที่เราอยากอ่าน นั่งสมาธิ เลิกการติดต่อที่เกี่ยวกับงานทุกอย่างชั่วขณะหนึ่ง การหยุดพักร้อนเป็นเวลาหลายวันเพื่อ recharge ตัวเอง
(5) พยายามหาเวลาให้ครอบครัว อย่างสัญญาอะไรที่ทำไม่ได้ ให้นึกไว้ว่าครอบครัวสำคัญรองจากสุขภาพ
(6) ตั้งระยะเวลาการทำงาน เพื่อป้องกันการหมดไฟ เมื่อเลิกงานควรหยุดคิดเรื่องงานหรือตอบปัญหา email
(7) ตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญโดยจัดเวลา ตัดงานที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความสำคัญก่อน เลิกดู social ระหว่างทำงาน เพราะจะดึงสมาธิ การที่เรามุทำงานจะเพิ่มผลผลิต ซึ่งหมายถึงเวลาว่างที่มากขึ้น เพื่อที่จะมีเวลาผ่อนคลายหลังเลิกงาน…

………………………………………….
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”